Schneider Electric เดินหน้านวัตกรรมรักษ์โลก หนุนองค์กรที่มีเป้าหมายสู่การเป็น Carbon Neutral และ Net Carbon หวังช่วยลูกค้าลดคาร์บอน 458 ล้านตัน ทำให้องค์กรและโลกยั่งยืนคู่กัน
สเตฟาน นูสส์ (Stephane NUSS) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวในงาน Innovation Summit Bangkok 2023: Innovations for a Sustainable Thailand ว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ สิบปี คาดว่าในปี 2030-2040 การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอีก 20 เท่าเพราะการใช้เครื่องมือดิจิทัลและปรับตัวสู่การเป็นองค์กรแบบสมาร์ท ยิ่งเพิ่มการเติบโตของอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเปลี่ยนสู่อนาคต คือ การผสมผสานระหว่าง Digital + Electric = Sustainable ดังนั้น การทำเรื่องของซัสเทนจึงจำเป็นต้องมองเรื่องของ Smart และ Green ด้วย
"การพัฒนาอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ อย่างชาญฉลาดนั้น ไม่ใช่มองแค่เรื่องของการทำให้ระบบมีความเสถียรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาให้อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์เหล่านั้น ลดการปล่อยคาร์บอนได้ด้วย นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นการวางแผนรักษ์โลกได้อย่างชาญฉลาด"
เป้าหมายของ Schneider Electric จึงมุ่งหมายให้ดิจิทัลพาร์ทเนอร์ สามารถใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและรักษ์โลกไปได้พร้อมกัน
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
ในทุกปีเรามีการลงทุนด้านนวัตกรรม อยู่ที่ 5% จากรายได้ทั้งหมด 34 พันล้านยูโร โดย 74% ของรายได้นั้น มาจากการทำกรีนโซลูชั่น นั่นเท่ากับว่า ชไนเดอร์ช่วยประเทศไทยลดการเกิดคาร์บอนได้มากถึง 458 ล้านตัน
นอกจากนี้ เพื่อให้องค์กรเดินหน้าโฟกัสในเรื่องของการช่วยลดคาร์บอนของทั่วโลก ชไนเดอร์ยังมีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,500 คน อยู่ในธุรกิจทุกประเภท กว่า 5,000 แห่ง
นอกจากนี้ Schneider Electric ยังได้ตั้งเป้าเกี่ยวกับการทำ Carbon neutral ในปี 2025 และเป็น Net Zero ในปี 2030 ส่วนในไทยนั้น มีการวางเป้าหมายจะทำ Renewable Energy กว่า 30% และลดคาร์บอน 30% ด้วย
และในปี 2035 จะเดินหน้าเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ปี 2050 จะเป็น Carbon neutral และ Net Zero อย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้มีการทำสำรวจ พบว่า 64% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถาม พบว่า บริษัทมีการทำเรื่องซัสเทน 62% มีเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจนในการลด Co2 และอีก 99% เห็นด้วยกับการทำเรื่องรักษ์โลกให้เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันของ Schneider Electric สามารถลดคาร์บอนได้กว่า 70% แล้วไม่ใช่เทคโนโลยีเพื่ออนาคต ถ้ามีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานได้แล้ว
เทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มีการใช้งานและวัดผลได้แล้ว พบว่า ช่วยประหยัดพลังงาน 15-30% ลดการปล่อยคาร์บอนในอากาศมากกว่า 20% ปลอดภัยและทำงานได้มากขึ้น 21%
ดังนั้น หากถามว่าเราทำเร็วพอหรือยัง ต้องบอกว่ายัง เรายังปรับตัวให้ทันตามสภาพอากาศไม่ได้ เรายังต้องทำให้ดีกว่านี้
เทคโนโลยีของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่จะนำมาใช้งานในไทย