กรกฏาคม 2552 รัฐบาลจีนเคยสั่งห้ามใช้ Facebook และ Twitter แต่มาวันนี้ มีนาคม 2566 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็ย้อนเกล็ดด้วยการแบน TikTok เช่นกัน
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เมื่อคณะกรรมการพลังงานและการพาณิชย์ของสภาคองเกรสกลับเป็นคนตำหนิ Shou Zi Chew CEO ของ TikTok ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เพียงเพราะสมาชิกสภาฯ หลายคนมองว่า การผลักดันความรับผิดชอบไปที่ TikTok ด้วยคำว่า "คอมมิวนิสต์" เพียงเพราะเขาเป็นเอเชียและใส่ทัศนคติลงในประโยคที่เห็นได้ทั่วไปว่า "เราไม่สามารถทำอย่างอื่น เพื่อควบคุมบริษัทเทคโนโลยีได้" มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
การแบน TikTok ไม่ใช่สัญญาณว่า เรากำลังปฏิรูปเทคโนโลยีอย่างแท้จริงแบบที่ฝ่ายนิติบัญญัติ พยายามที่จะกล่าวอ้างในการพิจารณาคดี
แต่กลับเป็นการสร้างความเคลื่อนไหวแบบมีนัยยะให้แก่นักการเมืองบางคนที่แสดงความไม่พอใจที่ TikTok จะกลับมาใช้งานแบบปกติได้อีกครั้ง
เรื่องที่ TikTok ถูกกล่าวหา อย่างการขายข้อมูลส่วนบุคคล บันทึกการถูกจับกุม ข้อมูลด้านการจดจำใบหน้า ไปจนถึงการแฮ็กโทรศัพท์ ลุกลามไปจนถึงปิดกั้นสู่การแสดงออกอย่างเสรี ซึ่งปัญแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความกังวลด้านความมั่นคงของประเทศเหล่านี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับ TikTok
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
แม้ว่าความกังวลด้านความมั่นคงของอเมริกากับ TikTok มีหลักฐานมากเพียงใด แต่ต้องยอมรับว่าจีนเป็นประเทศที่มีความเข้มงวดในการใช้เทคโนโลยีอย่างมาก
แม้ Oracle บริษัทจัดเก็บข้อมูลจะมีหลักฐานหลุดออกมาว่า มีความเป็นไปได้ที่ TikTok จะเชื่อมต่อเรื่องข้อมูลกับ Bytedance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่จีน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทางการจะใช้เป็นข้อกล่าวอ้างในการปิดกิจการของใคร
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐอเมริกาจะสงสัยแบบนั้น เพราะสิ่งที่ทางการจีนต้องการจาก TikTok คงหนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นส่วนตัว และตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
นอกจากนี้ โทรศัพท์ก็เป็นอุปกรณ์ชั้นดีที่ติดตัวทุกคนและเป็นแหล่งเก็บข้อมูลจำนวนมากของบุคคลคนนั้น หากมีการติดตั้ง TikTok เพื่อใช้งานในเครื่องของใคร ย่อมเป็นเรื่องยากที่ TikTok จะเคลียร์เรื่องการ bias ได้ชัดเจน
ทั้งนี้ ยังมีการกล่าวอ้างว่า TikTok จะกลายเป็นช่องทางโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่แอบแฝงมา ถือว่าเป็นไปตามสมมุติฐานตามเอกสารที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้
โดยอ้างอิงจาก การมีอคติในแง่มุมบางอย่าง เช่น การทำขนาดภาพให้เป็นแนวจัตุรัส การเซ็นเซอร์ที่ขัดกับแนวคิดพื้นฐานในเรื่องของเพศ ยาเสพติด ความรุนแรง ที่นักกฏหมายข้องใจว่าทำไม TikTok ถึงไม่แบนเรื่องเหล่านี้
ความพยายามในการโยง TikTok กับการห้ามใช้งานในอุปกรณ์สื่อสารของหน่วยงานภาครัฐยังคงเป็นเรื่องที่ประชาชนคาดเดาได้ เพราะกว่าที่หน่วยงานภาครัฐจะยินยอมให้ระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ก็กินเวลาหลายปีเช่นกัน
นอกจากนี้ พฤติกรรมหลายอย่างของ TikTok ที่ถูกจับตามองนั้น สอดคล้องกับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เช่น Uber เคยสอดแนมบัญชีของนักข่าว eBay ที่มีการสะกดรอยตามเส้นทางการใช้จ่ายของนักข่าวเช่นกัน
ซึ่งทางออกที่ชัดเจนที่สุดคือการอนุมัติกฏความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความโปร่งใส และความรับผิดชอบอื่นๆ ที่ไม่ปิดกั้นเหล่าสตาร์ทอัปจากต่างชาติ รวมทั้งมาตรฐานในการอนุมัติก็ควรมองในแง่มุมเดียวกับบริษัทที่เป็นสัญชาติอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของ ทรัมป์ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการแบน TikTok และ Wechat ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยปัญหาใดแต่การส่งสัญญานแบบนี้ ไม่ต่างกับการที่จีน ปิดกั้น Youtube และ WhatApp
ประชาชนบางคนมองว่า การกระทำดังกล่าวของรัฐอเมริกา ไม่ต่างกับหลักการที่เคยเปิดกว้างเรื่องการใช้งานอินเทอร์เน็ต
นัยยะที่แฝงของการจ้องตะครุบ TikTok เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าจะทำสงครามเย็นกับจีน แต่ขณะเดียวกันก็นำเข้าสินค้าทุกอย่างที่มาจากจีนเช่นกัน
ดังนั้น สภาคองเกรสต้องแยกออกให้ชัดเจนก่อนว่าต้องการอะไรกันแน่ เพราะโลกอินเทอร์เน็ตที่เดินไปอย่างรวดเร็ว ย่อมมีโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok เกิดขึ้นใหม่ได้ทุกวัน แอปเหล่านั้นย่อมจัดเก็บประวัติ เข้าถึงตำแหน่งที่อยู่ และเผยแพร่เรื่องส่วนตัวที่ผู้ใช้งานเป็นคนกดแชร์ได้ทั้งนั้น
เพราะเครื่องมือต่างๆ ถูกสร้างขึ้นด้วย AI และอัลกอริธึ่ม กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการแบน TikTok และปิดกั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หากเป็นในแนวทางนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคอมมิวนิสต์แบบจีน ที่ไม่ให้อิสระประชาชนในการเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเลย