หวังไทยติดอันดับท็อป 30 ชาตินวัตกรรมชั้นนำของโลก NIA แนะภาครัฐเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางนวัตกรรมให้กับนักลงทุน หรือธุรกิจนวัตกรรมจากต่างประเทศ จัดทำโครงการ Smart Visa ร่วมกับ BOI การจัดตั้งศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลก (Global Hub) หวังเงินสะพัดจากการลงทุนพันล้าน
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยถึง 4 ปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม คือ
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการสานความสัมพันธ์กับประเทศชั้นนำ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เพื่อเสริมทัพความแข็งแกร่งให้กับระบบนวัตกรรมไทย
อย่างไรก็ตาม NIA ได้วางแนวทางการดึงดูดสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และองค์กรจากต่างชาติให้มาลงทุนทำธุรกิจนวัตกรรมในไทย ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอจุดเด่นของประเทศไทย รวมถึงการมีองค์กรธุรกิจที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีอาหารและสินค้าเกษตรรายใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลชั้นนำของโลก และบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกอย่างกลุ่มมิตรผล
ซึ่งองค์กรเหล่านี้มีทรัพยากรบุคคลที่พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหารด้วยเทคโนโลยีเชิงลึกจำนวนมาก ส่งผลให้มีสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารทั้งชาวไทยและต่างชาติมีโอกาสได้รับการสนับสนุนเงินทุนไปแล้วถึงร้อยละ 60 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนขนาดใหญ่ของไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรม
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า NIA มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ “ประเทศแห่งนวัตกรรม” และติดอันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลกภายในปี 2573
ดังนั้น NIA จึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี พร้อมทั้งเร่งสร้างขีดความสามารถและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมผ่านการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เงินทุน เครือข่าย โครงการสมาร์ทวีซ่า ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทพิเศษร่วมกับ BOI เพื่อดึงดูดต่างชาติให้มาทำธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทย
รวมถึงการจัดตั้งศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลกขึ้นในพื้นที่กรุงเทพ เชียงใหม่ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับให้สตาร์ทอัพหรือนักลุงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยได้ทำกิจกรรมและรับบริการในหลากหลายด้านร่วมกัน
นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมของไทยอีกหลายประการ เช่น
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า NIA ปรับเปลี่ยนบทบาทจาก “สะพานเชื่อม (System Integrator)” สู่ “ผู้อำนวยความสะดวกทางนวัตกรรม (Focal Facilitator)” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความเข้มแข็งของพื้นที่ รวมถึงพัฒนาศักยภาพและการเติบโตของสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน
รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลก ผ่านภารกิจหลักในด้านของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและลงทุน
การส่งเสริมให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตในตลาดโลก การสร้างแบรนด์นวัตกรรมของไทยให้เป็นที่รู้จักในสายตาต่างชาติ และการผลักดันให้เกิดการลงทุนจากนานาชาติสูงขึ้น
ทั้งนี้ NIA ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 5 ปี (2566 – 2570) จะสามารถสร้างมูลค่าลงทุนธุรกิจนวัตกรรมในไทยได้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นรูปแบบการร่วมลงทุน ซึ่งมีตัวอย่างจากสตาร์ทอัพไทยที่เคยได้รับการลงทุนจากอิสราเอล
โดยหน้าที่หลักของ NIA ก็คือสนับสนุนและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยไปร่วมทำโครงการกับบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจากสำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่การส่งเสริมแบบเชิญมาตั้งโรงงาน แต่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับอีกหลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะนำสตาร์ทอัพมาร่วมลงทุนด้านนวัตกรรมกับประเทศไทย ส่วนสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะมีการจัดงาน Start Up and Innovation Week ที่กรุงปารีส ซึ่งจะมีบริษัทขนาดใหญ่ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศเข้าร่วมแสดงผลงาน
โดยประเทศไทยจะนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร เทคโนโลยีอวกาศ และงานศิลปะ เป็นไฮไลท์เข้าร่วมโชว์ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย – ฝรั่งเศสด้วย