SHORT CUT
รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ในไทยปี 2024 มียอดจดทะเบียนเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนไทยหันมาซื้อและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่ง Top 3 รถยอดฮิตในปีนี้เป็นรถ EV ที่มาจากค่ายจีน
รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ในปีนี้ถือเป็นเทรนด์ธุรกิจที่คนให้ความสนใจอันดับต้นๆของโลก ซึ่งเห็นได้จากการที่ Warren Buffet นักลงทุนชื่อดังระดับโลกได้เข้ามาลงทุนในบริษัท BYD มาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งบีวายดีมีดีกรีเป็นแหล่งผลิตแบตเตอรี่อันดับ 2 ของโลก
ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยก็ได้มีแบรนด์รถ EV จีนหลากหลายค่ายเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย และนั่นเป็นเหตุผลที่ยอดจดทะเบียนในเดือนมีนาคมก็ยังมีแบรนด์จีนติดโผ 3 อันดับแรก ได้แก่ BYD, Neta และ MG
แต่อย่างไรก็ตามยอดจดทะเบียนมีหลากหลายปัจจัยทำให้แบรนด์รถ EV จีนขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งซื้อตั้งแต่ปลายปีและจดทะเบียนไปตั้งแต่เดือนมกราคมของปี 2567 ซึ่งในเดือนกุมพาพันธ์ 2567 ยอดจดทะเบียนสูงสุดเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla Model 3 ซึ่งได้เปิดตัวและส่งมอบรถไปก่อนหน้านี้
ยอดจดทะเบียนตั้งแต่ 3 เดือนแรกของปีนี้ ทำให้เห็นถึงกระแสรถ EV จีนที่มีมากขึ้น โดยสรุปยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2567 ได้ดังนี้
ยอดจดทะเบียนเหล่านี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้นในประเทศไทยรวม 21,950 คันภายในเวลา 3 เดือนของปีนี้ และขณะนี้รถยนต์ไฟฟ้าในไทยได้จดทะเบียนไปรวมกว่า 47,186 คัน
โดยจากเดือนมกราคม รถ EV ที่ได้จดทะเบียนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ก็คือแบรนด์จีนอย่าง BYD ส่วนในเดือนกุมพาพันธ์เป็นช่วงของการจดทะเบียน Tesla Model 3 จึงไม่แปลกที่เทสลาจะได้ครองอันดับ 1 และย้อนกลับมาล่าสุดในเดือนมีนาคม BYD ก็ได้กลับมาครองแชมป์ยอดจดทะเบียนสูงสุดอีกครั้ง
ถึงแม้ยอดจดทะเบียนจะมีหลากหลายปัจจัยทำให้ BYD สามารถได้ยอดจดทะเบียนสูงสุดในไทย เช่น จำนวนรถที่พร้อมส่งมอบ, โปรโมชั่นต่างๆ และจุดแข็งของ BYD คือ ต้นทุนการผลิตที่ควบคุมจนสามารถทำให้ BYD เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่ราคาที่เข้าถึงได้ สามารถปรับลดราคาต่อสู้กับคู่แข่งได้อีกด้วย
จากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคนไทยเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากราคาและความคุ้มค่าเป็นส่วนใหญ่ โดยเราได้รวบรวมรถยอดฮิตในไทยที่คนไทยนิยมซื้อ ได้แก่ BYD Dolphin, Neta V , MG4 ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มี BYD Seal, BYD Atto 3 เรียกได้ว่าขณะนี้รถ EV จีน ได้ครองตลาดในไทยไปเรียบร้อยแล้ว
รถ EV จีน ปัจจุบันได้พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆได้ครบครันจนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เทียบเท่าและอาจดีกว่าในบางจุด ซึ่งในด้านราคาที่ถูกกว่าก็คงต้องยอมรับว่าถือเป็นจุดแข็งของจีนเลยก็ว่าได้
ซึ่งไม่แปลกหากคนซื้อรถ EV ดูที่สเปค ระยะทาง ออปชั่นต่างๆที่ค่ายจีนให้มาครบครันและจะตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า ประกอบกับมาตรการรัฐต่างๆที่ให้ส่วนลดพิเศษก่อนหน้านี้ และลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ก็สนับสนุนให้คนไทยสามารถซื้อรถ EV จีนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
สังเกตได้จากยอดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอันดับต้นๆที่เป็นแบรนด์จีน ล้วนมีราคาราวๆ 500,000 - 700,000 บาท ซึ่งถือว่าราคารถ EV จีนตอนนี้สามารถเป็นตัวเลือกให้คนไทยเปรียบเทียบกับรถยนต์สันดาปที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าจีน ราคาถูก อาจเป็นตัวเลือกของผู้ใช้บางรายที่ต้องการประหยัดค่าเดินทางนั่นเอง
ย้อนกลับมาที่แบรนด์ญี่ปุ่นหรือยุโรปที่ยังไม่สามารถทำรถ EV ในราคาที่ถูกลงได้ เพราะปัจจัยหลักคือ "ราคาแบตเตอรี่" ที่ยังคงต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จีนอยู่ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ในปีนี้ในงาน Motor Show 2024 ไม่มีแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าไหนเข้ามาเล่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยแม้แต่เจ้าเดียวมีเพียง Honda ที่ได้เปิดตัว e:NS1 มาในรูปแบบเช่าซื้อเท่านั้น และเจ้าอื่นๆก็มาในรูปแบบ Concept Car
ย้อนกลับมาค่ายรถญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีใครล้มแชมป์ได้อย่าง Honda และ Nissan ได้ออกมายอมรับว่าเทคโนโลยี EV จีนได้พัฒนาไปรวดเร็วและเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ล่าสุดทั้งสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่ได้ปิดจบอวสานคู่แข่งตลอดกาล โดยทั้งสองแบรนด์นี้จะร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อต่อสู้กับค่ายจีน
ปัจจุบันประเทศจีนถือเป็นแหล่งอุตสาหกรรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถ EV เลยก็ว่าได้ ประกอบกับการพัฒนาร่วมกันของหลายๆบริษัทจีน โดยจุดแข็งอีกหนึ่งอย่างของแบรนด์จีนคือการจับมือร่วมกันพัฒนาเพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งค่ายญี่ปุ่นก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน ล้มกำแพงที่เคยต่อสู้กันและกลับมาช่วยกันต่อสู้กับยักษ์ใหญ่จีนนั่นเอง
ในอนาคตเชื่อว่าเราจะได้เห็นการพัฒนาใหม่ๆจากค่ายรถทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างจีน การจับมือร่วมกันพัฒนาจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากขณะนี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในช่วงสงครามราคา ผู้ใช้ก็ต้องการราคาที่ถูก เข้าถึงได้ คุ้มค่ากับการใช้งาน
ส่วนฝั่งค่ายรถก็ต้องเร่งลดต้นทุน พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับจีนที่หวังจะครองแชมป์ในตลาดรถ EV ทั่วโลก