SHORT CUT
เมื่อชาวเจน Z นิยมเสพข่าวทาง TikTok และ IG เตรียมลดเนื้อหาการเมืองบนแพลตฟอร์ม อาจส่งผลให้นักการเมืองเสียฐานคะแนนเสียงในช่วง 18-24 ปี ไปแบบรั้งไม่อยู่
การบีบให้ Bytedance ออกจากสหรัฐฯ อาจส่งผลเสียต่อภาคการเมืองไปเสียแล้ว เมื่อทีมบริหาร TikTok อาจเลือกปิดแอปไปเลย แทนการขายกิจการ หลัง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามผ่านกฎหมายแบน TikTok และบังคับให้บริษัทแม่ยินยอมขายกิจการ TikTok ภายใน 9 เดือน หรือไม่งั้นจะถูกแบน เพราะความกังวลว่าจีนจะใช้กฎหมายบังคับให้บริษัทส่งข้อมูลผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ให้รัฐบาลจีนสอดแนม
ทั้งนี้ ผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ มีราว 170 ล้านราย ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วโลกมีกว่า 1,000 ล้านราย จึงเป็นไปได้มากว่า Bytedance จะเลือกปิดกิจการดีกว่านำธุรกิจของตนเองไปให้ผู้อื่น
หาก Bytedance เลือกที่จะปิดแอป ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ iOS อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานทั้งหมดก็จะหายวับไปกับตาทั้งหมด เพราะสมาร์ตโฟนทุกแบรนด์ใช้สองระบบปฏิบัติการนี้
เมื่อมองย้อนกลับมาในฝั่งของสหรัฐฯ หากไม่มี TikTok แล้วจะเสียอะไรไปบ้าง แน่นอนว่าเมื่อกลุ่มผู้ใช้งานชาวเจน Z ไม่มีช่องทางในการเสพสื่ออย่าง TikTok และแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ก็ลดการมองเห็นภาพข่าวการเมือง แถมคนกลุ่มนี้ไม่ใช้งาน Facebook ย่อมทำให้คนรุ่นใหม่จะห่างจากการเข้าถึงข่าวการเมือง ทำให้ปลุกปั่นหรือสร้างเนื้อหาเพื่อให้ถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยากขึ้น
จากข้อมูลของ Pew Research Center ระบุว่า หนึ่งในสามของชาวอเมริกาที่มีช่วงอายุ 18-29 ปี รับข่าวสารจาก TikTok เป็นประจำ
เอ็มม่า มอนต์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์สายการเมือง มองว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เด็กอายุ 18-24 ปี จำนวนมากที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นจาก TikTok และพวกเขาก็จะหายไปทั้งหมด
"ไม่ใช่แค่ผลกระทบในมุมของผู้ให้ข้อมูล คนทำข่าว หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงคนอ่านข่าวและผู้รับสารก็จะเสียโอกาสในการรับรู้ข่าวสารการเมืองไปหมดเลยเช่นกัน"
ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวดูเหมือนจะสร้างความไม่พอใจต่อประชาชนผู้ใช้งาน TikTok และเป็นคนที่หาโอกาสและรายได้จากแพลตฟอร์มนี้อย่างมาก หากแอปนี้ถูกถอดออกจากระบบอย่างแท้จริง อาจส่งผลต่อผู้ใช้งานและธุรกิจทั่วโลกอย่างมหาศาล
ทั้งนี้ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่มองว่าการหายไปของ TikTok จะเป็นเรื่องยากในการสร้างขึ้นมาใหม่เพราะผู้สร้างคอนเทนต์ในระบบของ TikTok ทั้งหมดได้เรียนรู้ ฝึกฝน และขยายโอกาสในการใช้งานหลายแพลตฟอร์ม มากกว่าการผูกติดกับแพลตฟอร์มเดียวอย่าง Facebook หรือ Instagram แม้ชาวเจน Z จะเล่น Snapchat กันเยอะ แต่นั่นเหมือนเป็นการสื่อสารด้วยภาพมากกว่า ไม่ใช่การรับรู้ข่าวสารแบบ TikTok
แม้ฟากการเมืองจะมองว่านี่คือการสอดส่องประชาชนด้วยระบบ "อัลกอริธึ่ม" แต่อย่าลืมว่าทุกแพลตฟอร์มก็ใช้อัลกอริธึ่มเช่นกัน
Pratika Katiyar นักศึกษามหาวิทยาลัย Northeastern และผู้ช่วยวิจัยที่ Berkman Klein Center for Internet & Society ของ Harvard กล่าวว่า
เป็นการกระทำที่ไร้สาระมาก และ Instagram ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดเนื้อหาทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการผลักผู้ใช้งานออกจากแพลตฟอร์มของพวกเขา
ด้าน Adam Mosseri หัวหน้า Instagram กล่าวว่า ก่อนที่บางคนจะรู้สึกว่า "อัลกอริธึ่ม" เป็นตัวร้าย ต้องเข้าใจด้วยว่าการจัดอันดับและคำแนะนำ (ranking และ recommendations) เป็นส่วนช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าถึงโพสต์ของคุณ
ฝ่ายนิติบัญญัติยืนยันว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่การห้าม แต่เป็นการบังคับขาย TikTok จากบริษัทแม่ในจีนอย่าง ByteDance อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหาบริษัทสัญชาติอเมริกันที่มีกำลังซื้อ TikTok โดยไม่ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการต่อต้านการผูกขาด ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะหาผู้ซื้อได้ แต่รัฐบาลจีนก็มีอำนาจที่จะขัดขวางการบังคับขายอยู่ดี
หากย้อนกลับไปในช่วงหาเสียง ต้องยอมรับว่า แคมเปญหาเสียงของ
ประธานาธิบดีไบเดนก็โพสต์ TikTok หลายรายการต่อวัน โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 300,000 คน นับตั้งแต่สร้างบัญชีในเดือนกุมภาพันธ์
แอนนี ซิลไคทิส หนึ่งใน TikToker กล่าวว่า
“ฉันแปลกใจมากที่ Biden ลงนามในกฎหมายฉบับนี้ และคิดว่ามันจะเป็นประเด็นร้อนในปีนี้ เพราะ แคมเปญของเขาอยู่ในแอป ในขณะที่เขาพยายามแบนหรือบังคับให้ขายมัน มันแค่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขาหน้าซื่อใจคดมาก”
TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านคนใช้เวลาของพวกเขา ซึ่งการปรากฏตัวของ Biden ในแอปที่ช่วยให้เขาได้รับตำแหน่ง และแบนแอปนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด
“คุณจะยอมรับความจริงสองข้อนี้ได้อย่างไร เมื่อคุณตัดสินใจแบน TikTok และแคมเปญการเมืองของคุณได้รับความสนใจอย่างมากใน TikTok”
หาก TikTok ถูกแบน มันจะไม่ถูกลบออกจาก App Store จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งซึ่งร่างกฎหมายที่ Biden ลงนาม บังคับให้ ByteDance มีเวลาเก้าเดือนในการขาย TikTok และอาจมีการขยายเวลาไปอีก 90 วัน คาดว่าจะเป็นความท้าทายทางกฎหมายอย่างมากสำหรับทีม TikTok
ขณะเดียวกัน จุดยืนของไบเดน เกี่ยวกับ TikTok อาจส่งผลกระทบต่อเขาในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนพฤศจิกายนแน่นอน
อ้างอิงผลสำรวจความคิดเห็นของชาวเจน Z จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่มอายุ 18-29 ปี จะลดลงไปอีก เมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2567
การกระทำของไบเดนในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อโอกาสในการรักษาฐานคะแนนเสียงของไบเดน รวมทั้งเขายังล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จากพลังของอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
crazy times we live in that tiktok is such breaking news but anyway read me talk about it https://t.co/ja7O9ZMxkj
— Emma Mont (She/Her) (@theemmamont) April 26, 2024
มอนต์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์สายการเมือง กล่าวย้ำด้วยว่า
“ถ้าวันนี้ประธานาธิบดีไบเดนออกมาบอกว่าจีนตั้งใจใส่ X-Y-Z ลงในฟีด TikTok ของคุณ ฉันคงจะประมาณว่า 'โอเค ขอบคุณที่บอกฉัน นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องการ'
แต่ทุกอย่างที่เขาทำเหมือนว่า 'โอ้ พวกเรา' ไม่เข้าใจอัลกอริธึม ' เราไม่เข้าใจอัลกอริธึมมากนัก!”
“สิ่งที่ฉันรู้สึกแย่ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ในฐานะผู้สร้างเนื้อหาทางการเมืองก็คือ Mark Zuckerberg และ Elon Musk สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากแค่ไหน?”
ที่มา : TechCrunch
ภาพ : Reuters
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม