ยังคงส่งผลต่อนักลงทุนและผู้เสียหายต่อเนื่อง แม้รักษาการประธานของ STARK จะเข้าชี้แจงต่อ DSI และ ปอศ. แต่รายละเอียดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และอยู่เหนือการควบคุมของสมาคม บลจ. มาย้อนดูปัญหานี้กัน
บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสายไฟและสายเคเบิล จากเดิมบริษัทมีมูลค่า 31,000 ล้านบาท แต่หลังเจอผลกระทบทำให้บริษัทมีมูลค่าลดลงเหลือเพียง 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากการทำสายไฟ สายเคเบิล และโอกาสเติบโตจากเทรนด์สถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV) ที่กำลังขยายตัวในไทย ยิ่งสถานีชาร์จอีวีเติบโตขึ้นเท่าไหร่ โอกาสความต้องการสายไฟของ STARK ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้น บริษัทจึงมองเรื่องการขยายตัวไปยังเวียดนามเพื่อรองรับการเติบโตนี้ด้วย
จุดเริ่มต้นของหุ้น STARK มีแนวโน้มความเสี่ยงตั้งแต่ปี 2561 ที่มีผลกำไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4.90 บาท ในระยะเวลาเพียง 1 ปี ก่อนที่จะร่วงลงมาจนถึง 0.11 บาท ในปัจจุบัน
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
สัญญาณความเสียหายมาจากช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ที่สตาร์ค มีจดหมายแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า จะมีการเพิ่มทุนขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด หรือ Private Placement ที่ราคาหุ้นละ 3.72 บาท ให้แก่นักลงทุนสถาบัน 11 ราย คิดเป็นเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาท
สัดส่วนที่ 11.19% เพื่อนำเงินไปรองรับการซื้อหุ้นของ LEONI Kabel GmbH และ LEONISCHE Holding ผู้ผลิตสายไฟของรถยนต์อีวีและสายไฟที่ใช้ในสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถอีวีในเยอรมนีและสหรัฐ มูลค่าไม่เกิน 20,572 ล้านบาท
แต่แผนการซื้อกิจการนี้ถูกยกเลิก เนื่องจากความกังวลถึงสถานการณ์สงครามรัสเซีย ยูเครน ที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน จึงเก็บเงินทุนส่วนนี้ไว้สำหรับโครงการอื่นๆ แต่เงินส่วนนี้ไม่ได้ชี้แจงว่านำไปทำประโยชน์อะไรต่อ
จนกระทั่งซีอีโอ นายมงคล ตั้งใจพิทักษ์ ประกาศลาออกกะทันหัน และให้นายปกรณ์ เมฆจำเริญ เข้าดำรงตำแหน่งควบซีอีโอแทน และส่งผลให้บริษัทผิดนัดส่งงบการเงินครั้งที่ 1 ด้วย
จากนั้นมีการแต่งตั้งซีอีโอแทน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 และเลื่อนการส่งงบการเงินครั้งที่ 2 และปรับบอร์ดอีกในวันที่ 19 เมษายน 2566 และเลื่อนการส่งงบออกเป็นครั้งที่ 3
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่ง STARK ถือว่าเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการจากเงินส่วนหนี้ที่สูงมาก มากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นด้วย
ดังนั้น นี่จึงเป็นสัญญาณที่บอกให้ทราบว่าการลงทุนจะดูแค่เพียงรายได้และกำไรเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดูกระแสเงินสดด้วยว่าบริษัทมีรายได้เป็นเงินสดจริงและควบคุมหนี้สินอย่างไร
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องของความไม่โปร่งใสภายในองค์กรก็ถูกจับตามองด้วย
ดังนั้น เมื่อมีการเปิดซื้อขายหุ้น STARK เพื่อพยุงเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้มีการเทขายหุ้นจนร่วงถึงจุดต่ำสุดกว่า 90% ภายในวันเดียว
เมื่อไม่มีเงินทุน STARK ได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอีก 8,600 ล้านบาท ทำให้เป็นหนี้แล้วกว่า 17,800 ล้านบาท ซึ่งยังต้องหากระแสเงินสดมาใช้คืน
ทั้งนี้ รักษาการซีอีโอคนปัจจุบันออกมายอมรับว่ามีปัญหาทางงบการเงินจริงและยืนยันจะส่งงบการเงินภายใน 16 มิถุนายนนี้
ขณะนี้ ยังตรวจพบร่องรอยการทุจริตภายในองค์กรและร้องทุกข์ต่อ DSI เพื่อให้สืบสวนดำเนินคดีต่อการทุจริตครั้งนี้
ต้องติดตามมหากาพย์นี้กันต่อว่าจะมีการเปิดเผยงบการเงินออกมาอย่างไรและจะแก้ปัญหาครั้งนี้ได้หรือไม่ ที่แน่นอนคือมีผู้เสียหายจากกรณีนี้เป็นมูลค่ามหาศาล