True มอง ถึงเวลาที่ไทยต้องมีแพลตฟอร์มระดับโลกแบบ Google Facebook และ LINE ชี้เศรษฐกิจดิจิทัลไทย รองแค่ อินโดนีเซีย ที่ได้เปรียบเรื่องประชากรเยอะกว่า
ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุ ในงานสัมมนาและนิทรรศการเศรษฐกิจดิจิทัล “THAILAND 4.0 ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด : THAILAND 4.0 THE FUTURE AND BEYOND” ว่า การเข้ามาของเทคโนโลยี ทำให้เกิดชั้นต่าง ๆ ด้านการบริการ และเทคโนโลยีแบบใหม่มากยิ่งขึ้น หรือ ที่เรียกว่า OTT (Over the top) สังเกตได้จากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมซึ่งเดิมอยู่ในชั้นธุรกิจแบบปกติแต่การเข้ามาของเทคโนโลยีทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม OTT
เป็นที่สังเกตว่าวันนี้ประเทศไทยไม่มีแอปพลิเคชั่น ไหนที่เป็นที่โด่งดังในระดับโลกและต่างประเทศเหมือนกับแอปพลิเคชั่น ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันอย่าง Google Facebook และ LINE
"ดังนั้นบริษัทไทยจะต้องทำแอปพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มที่ก้าวเข้าไปเป็นผู้เล่นระดับโลกให้ได้ ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ จะต้องทำให้ผู้ใช้สามารถเข้ามามีปฏิสัมพันธ์และส่วนร่วมต่าง ๆ ด้วยกันได้อีกด้วย"
ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทเปลี่ยนจากผู้ซื้อกลายเป็นผู้ขายไม่ว่าจะเป็นการให้บริการด้านการเงิน เช่นการให้กู้ในระดับบุคคลที่มีตัวกลางเป็นแพลตฟอร์ม หรือแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ นอกจากนี้ เทคโนโลยียังสามารถสนับสนุนในเรื่องของการแพทย์ทางไกล และปัญญาประดิษฐ์ได้ด้วย
สำหรับประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตอยู่ที่ 17% ในปี 2022 มาอยู่ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคนี้รองจากอินโดนีเซียที่มีข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศและประชากร
ทำงานด้านดิจิทัล ข้อมูลจะทำให้เราแหลมคม
ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ มองว่า บริษัทด้านเทคโนโลยีจำเป็นที่จะต้องทำให้ธุรกิจที่พวกเขาทำอยู่ สามารถต่อยอดทำธุรกิจได้อย่างแหลมคมมากยิ่งขึ้นด้วย เช่น Amazon ที่ทุกการซื้อขายบนแพลตฟอร์มสามารถทำให้เขา ได้มาซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันการทำแอปพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มต่าง ๆ หากสามารถเชื่อมโยงเข้าสู่โลกแห่งความจริงได้ก็สามารถที่จะทำให้โลกดิจิทัลสามารถที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกใบใหญ่ใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งโลกดิจิทัลไม่ได้เป็นแค่โลกเสมือนเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าหากสามารถโยงออกมาในโลกความเป็นจริงได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะตลาดผู้ใช้งานก็จะกว้างมากขึ้น