เทรนด์อีคอมเมิร์ซ 2024 เมื่อทุกแบรนด์และธุรกิจทั้งรายใหญ่และเล็ก ต่างหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ การแข่งขันที่สูงทำให้ต้อง "เอาใจ" ผู้บริโภคให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่ถ้าบริการหลังการขายไม่ดี อาจ "ตาย" กลางทางเอาได้ง่ายๆ
ไม่ใช่แค่ธุรกิจรายใหญ่จะต้องมีบริการหลังการขายที่ดีเพื่อช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำ แม้จะเป็นร้านค้ารายย่อยแต่ถ้าตอบลูกค้าไม่ดี หรือใช้กฏเกณฑ์เงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ลูกค้า "ตัวจริง" ไม่ประทับใจ "สื่อโซเชียล" หรือแค่เฟซบุ๊กส่วนตัวของใครสักคน ก็อาจทำให้แบรนด์นั้น ไม่สามารถอยู่รอดบนช่องทางออนไลน์นี้ได้
ข้อมูลจาก dentsu เกี่ยวกับการใช้งานอีคอมเมิร์ซของผู้บริโภคยุคใหม่ พบว่า
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสัดส่วนยอดขายที่มาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซพบว่า
ทั้งนี้ ความเข้าใจของร้านค้ายุคใหม่ เกี่ยวกับการปรับตัวใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซแทนการใช้หน้าร้านค้าปลีกเพียงอย่างเดียวนั้น มีเหตุผลดังนี้
จากผลสำรวจนี้ สะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์หรือธุรกิจที่เคยมีหน้าร้านแบบเก่าไม่ได้เข้าใจในการมีช่องทางออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่ต้องการ "เอาใจ" ลูกค้ายุคใหม่ที่มีพฤติกรรมชอปปิงออนไลน์มากขึ้นเท่านั้น
รวมทั้ง ยังบอกให้ทราบอีกว่า ธุรกิจรายย่อยยังไม่อยาก "ตกขบวน" จากการแข่งขันธุรกิจเดิมของตนเองจึงต้องมีช่องทางนี้ไว้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้วางแผนชัดเจนมากพอสำหรับลูกค้าในอนาคต
ส่วนในกลุ่มของอีคอมเมิร์ซแบบ B2B หรือค้าขายระหว่างธุรกิจก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก DHL Express ดังนี้
ทั้งนี้ การที่แบรนด์หรือธุรกิจต้องการที่จะให้บริการลูกค้า และ "รู้จัก" ลูกค้าให้ดีกว่าเดิม ก็ควรจัดเก็บ First-party Data จากผู้ใช้งาน ที่อาจจะมาจากเว็บไซต์หลักของแบรนด์ตนเอง มาผสานรวมกับช่องทางอีคอมเมิร์ซอื่นๆ ของแบรนด์ เช่น บัญชีของผู้ใช้งานที่สร้างขึ้น, การอ่านคอนเทนต์บนเว็บไซต์แบรนด์, การอ่านรีวิว, การค้นหาสินค้า, การดูสินค้า, ช่วงเวลาที่เยี่ยมชม, สินค้าที่เลือกใส่ตะกร้า, สินค้าที่ซื้อ, วิธีการชำระเงิน, การไปที่สโตร์, ข้อมูล CRM เป็นต้น
เพราะข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยวิเคราะห์โอกาสและความน่าจะซื้อของลูกค้าว่าสนใจในสินค้าชิ้นไหนของเราและยิงโฆษณาให้โดนใจผู้บริโภคแต่ละคนได้ดีขึ้นด้วย
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม