TikTok เจอปัญหาหนัก ทั้งขายของ - ข่าวปลอม กระทบภาพรวมธุรกิจรายย่อย
TikTok เจอปัญหาซ้ำอีกรอบ ก่อนหน้านี้เพิ่งปิดฟีเจอร์ TikTok Shop ในอินโดนีเซีย ก็มาเจอปัญหาข่าวปลอมระบาดหนักบนแพลตฟอร์มในมาเลเซียและเวียดนามอีก รวมทั้งความกังวลเรื่อง TikTok Shop เข้ามาทำลายธุรกิจเอสเอ็มอีในหลายประเทศ
Fahmi Fadzil รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซีย โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า ความพยายามของ TikTok ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของมาเลเซียนั้น “ไม่เป็นที่น่าพอใจ” และจะมีการเชิญตัวแทนของ TikTok มาประชุมอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน
อย่างไรก็ตาม TikTok ยอมรับว่า ทางบริษัทไม่มีตัวแทนทีมงานอย่างเป็นทางการในมาเลเซีย จึงได้ส่ง Helena Lersch รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะสำหรับตลาดเกิดใหม่ของ ByteDance ในสิงคโปร์ เป็นผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ Fadzil ไม่ได้ระบุว่าจะมีการประชุมหารือในเรื่องใดบ้าง แต่ก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาว่ามาเลเซียกำลังพิจารณาเรื่องข้อห้ามในการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซียบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่มีแนวโน้มว่าทางมาเลเซียก็น่าจะออกข้อห้ามแนวทางเดียวกัน พร้อมย้ำว่า แพลตฟอร์มต้องเคารพกฎระเบียบในท้องถิ่นและมุ่งมั่นที่จะใช้มาตราการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ ทางอินโดนีเซียได้สั่งห้ามทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซบนโซเชียลมีเดีย เพื่อตอบโต้ TikTok ที่มีการเปิดฟีเจอร์ TikTok Shop และสร้างการเติบโตเป็นสองเท่าของระบบเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าและร้านค้าปลีกรายย่อยที่มีต้นทุนในการเปิดให้บริการหน้าร้าน รวมทั้งกระทบกับธุรกิจขนาดเอสเอ็มอี
หลังจาก TikTok ประกาศแผนการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งงบส่วนใหญ่จะทุ่มมาที่อินโดนีเซีย เพื่อผลักดัน TikTok Shop ให้เติบโต
ทั้งนี้ TikTok ในอินโดนีเซียมีผู้ใช้งาน 125 ล้านรายต่อเดือนและเป็นโอกาสสำคัญของ TikTok ในการหาโอกาสทางรายได้จากผู้ใช้งาน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ภาครัฐของอินโดนีเซียกังวลอย่างยิ่งกับการทุ่มเงินก้อนใหญ่ของแพลตฟอร์มรายนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อยกว่า 6 ล้านราย ที่อาจจะสูญเสียโอกาสทางการขายไป
นอกจากมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว ทางเวียดนามก็ยังตรวจสอบการทำงานของ TikTok เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นพิษก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มและกำลังพิจารณาเรื่องของความปลอดภัยด้านการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ เช่นกัน
ที่มา : TechinAsia, CNN Business
Pic : unsplash
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
