ช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ มีข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกแชร์กันในโลกโซเชียลอยู่มากมาย ซึ่งอาจจะมีข้อเท็จจริงแตกต่างกันและบางข้อมูลก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
ข้อมูลเกี่ยวกับ Colloidal Silver หรือแร่ธาตุคอลลอยด์ ที่แชร์กันว่าช่วยกำจัดไวรัสโควิด-19 ได้ ข้อมูลนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร เรามีข้อมูลมาฝาก
ข้อมูลที่ว่า Colloidal Silver หรือผลิตภัณฑ์จากแร่ธาตุคอลลอยด์ สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาได้หลายสายพันธุ์ ช่วยฆ่าเชื้อไวรัส ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง สามารถรักษาภาวะต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ ฯลฯ แนวคิดนี้ถูกแชร์ต่อกันใน Facebook เป็นกรุ๊ป Medical Freedom ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาโรคแบบอื่นนอกจากแพทย์กระแสหลัก นอกจากนี้ยังมีการโปรโมทผ่านรายการของ Jim Bakker ครูสอนศาสนาผ่านโทรทัศน์ โดยผู้ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกี่ยวกับแร่ธาตุคอลลอยด์ เคลมว่าสามารถกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนาภายใน 12 ชั่วโมง และยังมีอาหารเสริมเกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ออกมาอย่างมากมายด้วย ในโลกออนไลน์ยังมีการขายและผลิตแร่ธาตุคอลลอยด์เองที่บ้าน และยังมีคนมากมายที่หาซื้อแร่ธาตุชนิดนี้มาเป็นอาหารเสริมในการรักษาโรค แม้ว่าจะไม่มีการรับรองความปลอดภัยก็ตาม
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
เปิด TIMELINE วัคซีนซิโนฟาร์ม ตั้งแต่เปิดจองจนถึงวันฉีดวัคซีน
ผู้หญิงควรรู้!!! Q&A ไขข้อข้องใจผู้หญิงกับการฉีดวัคซีนโควิด-19
หลายเหตุการณ์ชวนเครียด มาเช็กสุขภาพจิตใจ ผ่าน MENTAL HEALTH CHECK IN
The Facts
สมัยก่อนมีผลิตภัณฑ์ยาแร่ธาตุคอลลอยด์มีขายอยู่มากมายตามร้านขายยา ต่อมาสรรพคุณของแร่ธาตุตัวนี้ยังไม่มีการรับรองทางวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ถูกงดจำหน่าย แต่ก็ยังมีจำหน่ายในรูปแบบอาหารเสริมอยู่ Dr. Helene Langevin ผู้เชี่ยวชาญของ National Center for Complementary and Integrative Health หรือ NCCIH เผยว่ายังไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวไหนที่สามารถรักษาไวรัสโควิด-19 ได้โดยตรง และแร่ธาตุคอลลอยด์ก ก็เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุถึงประโยชน์ที่มีต่อร่างกาย รวมถึงสรรพคุณในการต่อต้านโรค และ Colloidal Silver จัดเป็นแร่ธาตุที่ไม่จำเป็น ไม่เหมือนกับแร่ธาตุ Zinc หรือ ธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกาย
การใช้แร่ธาตุคอลลอยด์ ไม่ว่าจะรับประทาน ทาบนผิว หรือฉีดเข้ากระแสเลือด ถือว่าไม่ปลอดภัย อย่างยิ่ง เพราะจะเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตับ ไต กล้ามเนื้อ และสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ Argyria หรืออาการผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแบบที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยจะเกิดกับเหงือกก่อนเป็นที่แรก อีกทั้งสารนี้ยังกระตุ้นการผลิตเมลานินบนผิวทำให้สีผิวคล้ำขึ้น โดยผิวหนังบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เมื่อเข้าไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ จะทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้น และยังมีข้างเคียงอื่นๆ อีก อย่าง ทำให้ไตเกิดความเสียหาย หรือทำให้เกิดอาการชัก ในผู้หญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ได้
Cr. www.bbc.com / www.apnews.com / www.hd.co.th