ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นทั้งเทรนด์และความจำเป็นถ้าจะร่วมลดการปล่อยคาร์บอน แม้แต่ในวงการแข่งขันรถซิ่ง หลายแบรนด์ก็หันมาพัฒนาเครื่องยนต์ไฟฟ้า เช่น แม็คลาเรน (MCLAREN) ที่ร่วมกับ Nissan พัฒนาเครื่องยนต์ไฟฟ้า เตรียมลงสนามแข่งชิงแชมป์โลกในรายการ ABB FIA Formula E ฤดูกาลที่ 9
ขณะที่ชาวโลกทยอยเปลี่ยนจากการใช้รถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปเป็น รถยนต์ไฟฟ้า หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อุตสาหกรรม รถแข่ง ก็พัฒนาไปมากแล้วเช่นกัน ที่ดังสุดๆ คือการแข่งขัน Formula 1 ที่พัฒนาและต่อยอดมาเป็นรายการ Formula E เพื่อให้ รถแข่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ได้โชว์สปีดจากการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่
Formula E กิจกรรมแข่งรถ ยังต้องยั่งยืน?
การแข่งขัน Formula E ที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นการแข่งขันในฤดูกาลที่ 9 ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่า ABB FIA Formula E Championship ซึ่งนอกจากจะให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าแข่งขัน 100% แล้ว กิจกรรมนี้ยังต้องผ่านการติดตามและตรวจสอบด้วยว่า เป็น กิจกรรมที่ยั่งยืน (Sustainable events certification) ตามมาตรฐานสูงสุด ISO 20121 ที่ออกโดยหน่วยงานรับรองมาตรฐาน SGS หรือไม่ ด้วยการพิจารณาทั้งด้านการใช้พลังงานและปล่อยคาร์บอน การเดินทางของเจ้าหน้าที่ การขนส่งรถแข่งเพื่อเข้าแข่งขัน การเดินทางอย่างยั่งยืนของผู้ชม การจัดการอาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ ซึ่งโดยรวมก็จะอยู่ภายใต้แนวทางหลักที่จะต้อง
ทั้งนี้ ทาง Formula E ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยคาร์บอนลง 45% เมื่อเทียบจากปริมาณคาร์บอนที่เกิดขึ้นในการแข่งขัน ฤดูกาลที่ 5 ณ ปี 2019 กับปริมาณการปล่อยคาร์บอนในปี 2030
ก่อนจะถึง ABB FIA Formula E ฤดูกาลต่อไป
มีข่าวว่า นิสสัน (Nissan) ประกาศความร่วมมือระยะยาวทางเทคโนโลยีกับ แม็คลาเรน เรซซิ่ง (MCLAREN RACING) โดยนิสสันจะผนึกกำลังกับทีมแม็คลาเรน นำเทคโนโลยี เครื่องยนต์ไฟฟ้า จากนิสสันมาใช้กับรถแข่ง Formula E รุ่นที่ 3 ทุกคัน ก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาลของการแข่งขันชิงแชมป์โลก ABB FIA Formula E World Championship 2022/23
พอย้อนไปดูข้อมูลที่สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ พบว่า
แม็คลาเรน เรซซิ่ง ก่อตั้งโดย บรูซ แม็คลาเรน นักแข่งรถชาวนิวซีแลนด์ในปี 1963 และได้เข้าสู่การแข่งขัน Formula 1 ในปี 1966 เป็นครั้งแรก จากนั้นแข่งชนะหลายรายการ ได้แก่
นิสสัน อยู่ในแวดวงรถยนต์-รถแข่งมานาน แต่การเปิดตัวรถแข่งในการแข่งขันชิงแชมป์โลก ABB FIA Formula E ฤดูกาลที่ 5 (ปี 2018-2019) ซึ่งเป็นการแข่งขันรถแข่งฟอร์มูล่าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ทำให้ชื่อของนิสสันโดดเด่นยิ่งขึ้นเพราะเป็นผู้ผลิตรายแรกและรายเดียวของญี่ปุ่นที่เข้าแข่ง ส่งผลให้ได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ ABB FIA Formula E ฤดูกาลที่ 9 นี้
ความร่วมมือล่าสุดกับแม็คลาเรนเป็นการต่อยอดจากการที่นิสสันมีส่วนร่วมโดยตรงในการพัฒนาต่อยอดรถแข่ง Formula E รุ่นที่ 3 ให้เป็นที่ยอมรับ ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านการออกแบบและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก ทั้งยังเข้าซื้อกิจการ ทีมอี แดมส์ นิสสัน ซึ่งจะยังคงเข้าร่วมการแข่งขัน Formula E ด้วยทีมของตนเองต่อไป
อัชวานี กุปตา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการนิสสัน กล่าวว่า “จิตวิญญาณแห่งการริเริ่มและแรงผลักดันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรม คือสิ่งที่นิสสันและแม็คลาเรนมีร่วมกัน นั่นจึงทำให้แม็คลาเรนเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมของนิสสันสำหรับการแข่งขัน Formula E ในขณะที่เราจะยังคงผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเราไปด้วย”
ด้าน ทอมมาโซ โวลป์ ผู้จัดการทั่วไปนิสสัน Formula E และกรรมการผู้จัดการ Nissan e.dams Formula E Team กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจที่จะประกาศความร่วมมือระยะยาวกับแบรนด์มอเตอร์สปอตชั้นนำอย่างแม็คลาเรน การทำงานร่วมกันจะเริ่มขึ้นในฤดูกาลต่อไปพร้อมกับข้อกำหนดใหม่ของรถ Formula E รุ่นที่ 3 ที่ซึ่งเราจะได้เห็นประสิทธิภาพของการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าที่เกินขีดจำกัดที่ผ่านมา และสำหรับนิสสันแล้ว เราไม่ได้เข้าร่วม Formula E เพื่อแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการแสดงศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสันให้ผู้คนประทับใจในความทรงพลังและความมีประสิทธิภาพ อีกทั้งความร่วมมือกับแม็คลาเรนในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้นิสสันสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็วและเป็นที่ประจักษ์แก่แฟนๆ ทั่วโลก”
นิสสันเตรียมนำ เครื่องยนต์ไฟฟ้าไร้มลพิษ มาให้ชาวโลกได้เห็นประสิทธิภาพในการแข่งขันดังกล่าว นอกจากนี้ ยังตั้งใจที่จะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดรถยนต์หลักภายในปี 2030 เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตตลอดจนช่วงการใช้งานรถยนต์ภายในปี 2050
แซค บราวน์ ประธานบริหารแม็คลาเรน เรซซิ่ง กล่าวว่า ในขณะที่กำลังสร้างทีมสำหรับการแข่งขันในฤดูกาลแรกของ Formula E ก็ค่อยๆ หาโอกาสที่เหมาะสมและพันธมิตรที่ดีที่สุดไปด้วย
"บริษัทเรามองว่า ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งนิสสันได้พิสูจน์ให้เราเห็นถึงความรู้ ความชำนาญ และความมุ่งมั่นตลอดการแข่งขัน 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา รวมไปถึง Formula E รุ่นที่ 3 ในอนาคตอีกด้วย เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้บริษัทของพวกเราทั้งคู่ประสบความสำเร็จและจะผลักดันประสิทธิภาพการทำงานของพวกเราในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Formula E ไปอีกก้าว”
การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่มีความท้าทายและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก...คาดว่าจะอยู่ในการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
.................................................................................................................................................................
ที่มา
.................................................................................................................................................................