ข้าวฟ่าง พืชตระกูลข้าวที่มักถูกมองข้ามกำลังกลับมาสร้างความนิยมในอินเดีย หลังจากต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงและวิกฤตขาดแคลนน้ำ ข้าวฟ่างจึงกลับมากู้วิกฤตภัยแล้ง
อินเดียกำลังลุกเป็นไฟกับการเผชิญวิกฤตในหลายๆตอนนี้ ไม่ว่าจะคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิหลายภูมภาคทั่วประเทศสูงขึ้น จนผู้คนและสัตว์ล้มตาย วิกฤตขาดแคลนน้ำและเดือดร้อนสุดคือเกษตรกร ที่ปลูกอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะน้ำเริ่มขาดแคลน สภาพอากาศก็ร้อนจัดส่งผลให้พืชผลที่ปลูกไว้เริ่มเสียหาย ล้มตายเป็นเบือ
อินเดียกำลังเผชิญกับวิกฤตน้ำและอาหาร ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากวัฏจักรสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นความร้อนในปัจจุบันซึ่งมีอุณหภูมิที่สูงกว่า 40 ℃ โดยอินเดียมีประชากร 1.4 พันล้านคนที่ต้องเลี้ยงดู และคลื่นความร้อนดังกล่าวจะกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ประเทศจำเป็นต้องมีการเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้นอย่างชัดเจน
คนในพื้นที่อินเดียกล่าวว่าอากาศร้อนแบบนี้เป็นปกติเกือบทุกปีในช่วงนี้ แต่ปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญคือความร้อนแบบนี้กำลังสั่นครอนความมั่นคงด้านอาหารอย่างรุนแรง
ในรัฐปัญจาบ รัฐ "อู่ข้าวอู่น้ำ" ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่มีประชากร 27 ล้านคน ขณะนี้ผู้กำหนดนโยบายกำลังพิจารณาอย่างเข้มข้นในเรื่องความหลากหลายของพืชผลเพื่อรับมือกับวิกฤตความแห้งแล้งในภาคการเกษตรที่อาจจะส่งผลกระทบเป็นโดมิโนได้ทั้งประเทศ การหารือเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นจากการเน้นย้ำไปที่ทุ่งข้าวสาลี
ข้าวถือเป็นอาหารหลักของทั้งประเทศ แต่ปัญหาคือข้าวหลายชนิดทนแล้งไม่ได้นานและขาดน้ำไม่ได้ ทุ่งข้าวเหล่านั้นใช้น้ำบาดาลอันมีค่าไปจำนวนมาก และมันกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว ข้อมูลของรัฐแสดงให้เห็นว่าน้ำบาดาลถูกดึงมาใช้เกิน 14 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จนถูกวันนี้น้ำถูกใช้ไปเกือบ 80% ของน้ำบาลแล้ว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
สตาร์ทอัพสิงคโปร์ผุดไอเดียบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำจากถั่ว รับมือวิกฤตอาหาร
อียิปต์อาจเป็นเมืองแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จเมืองคาร์บอนเป็นศูนย์
ธนาคารโลกเตือน วิกฤตอาหารกำลังมา เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
สำหรับตอนนี้ รัฐปัญจาบมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการใช้พืชผล เช่น ข้าวโพด เมล็ดพืชน้ำมัน ฝ้าย และแม้แต่ต้นป็อปลาร์ (Poplar) ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและใช้สำหรับเอาไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์หรือนำมาทำกระดาษ แต่เกษตรกรรุ่นเยาว์บางคน คิดต่างจากนั้น พวกเขามองว่าพืชผลเหล่านี้ยังทนการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ไม่เพียงพอ เลยเอกหันกลับไปปลูกพืชที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่แทนอย่าง ‘ข้าวฟ่าง’
คุณสมบัติของข้าวฟ่าง
ข้าวฟ่างเป็นกลุ่มของธัญพืชที่มีหลายสายพันธุ์ และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น ‘ซุปเปอร์ฟู้ด’ (Super Food) สำหรับองค์ประกอบที่อุดมด้วยสารอาหาร มีแป้งและโปรตีนในปริมาณสูง ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวาน และการบริโภคข้าวฟ่างช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย ส่งเสริมการล้างพิษ และช่วยในการย่อยอาหาร อาหารจำพวกข้าวต้ม คุกกี้ แพนเค้ก และขนมปังที่ทำจากข้าวฟ่างก็มีการบริโภคในหลายส่วนของโลกปัจจุบันแต่ได้รับความสนใจไม่เท่ากับข้าวสาลี แน่นอนล่ะ อุปสงค์ของข้าวสาลีมีเยอะกว่าอยู่แล้ว
แต่สำหรับตอนนี้ ถ้าอยากสู้กับวิกฤตแล้ง ข้าวฟ่างเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับตัวแทนข้าว เนื่องจากไม่ต้องการน้ำมาก ต้านทานศัตรูพืชได้ อายุการเก็บรักษานานมาก และให้ผลกำไรได้พอๆกับข้าวประเภทอื่นๆ การวิจัยพบว่าข้าวฟ่างทนต่อความร้อนทำให้เป็นตัวเลือกพืชผลที่สมเหตุสมผลในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นนี้ได้
ประวัติศาสตร์ของข้าวฟ่าง
ข้าวฟ่างได้รับการปลูกในรัฐปัญจาบเสมอแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยโดดเด่นก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีเปิดเผยว่ามีการใช้สารเหล่านี้ในสมัยแรกๆ ของการเกษตร นานก่อนที่เมืองต่างๆ ของอารยธรรมอินดัสจะปรากฎขึ้นด้วยซ้ำ ข้าวฟ่างยังช่วยเลี้ยงประชากรในภูมิภาค (และเลี้ยงโคของเกษตรกร) ในช่วงระยะเวลาที่แห้งแล้งและปริมาณน้ำฝนที่แปรปรวนซึ่งส่งผลกระทบต่ออนุทวีปเมื่อกว่า 4,000 ปีที่แล้ว
แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ การปลูกข้าวฟ่างในอินเดียลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น บัจรา (ข้าวฟ่างไข่มุก) ปลูกบนพื้นที่ 217,000 เฮกตาร์ในรัฐปัญจาบในปีค.ศ. 1950 แต่ลดลงเหลือเพียง 500 เฮกตาร์ในปี 2020 แต่การเพาะปลูกกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อชาวนาของรัฐหันกลับมาปลูกข้าวฟ่างอีกครั้ง
ข้าวฟ่าง เช่น รากี บัจรา และกัวร์ กำลังได้รับการปลูกฝังเป็นพืชผลเสริมในพื้นที่ที่กระจัดกระจายและขนาดพกพาโดยเกษตรกรที่เป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น แนวทางปฏิบัตินี้ได้รับอิทธิพลจากกระแสข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของนโยบายการเกษตรและตลาดผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากการขายพืชผลเหล่านี้เป็นข้าวฟ่างดิบแล้ว เกษตรกรยังขายข้าวฟ่างแปรรูป บรรจุหีบห่อ และตราสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย แม้ว่าข้าวฟ่างจะเติบโตได้ง่าย แต่ท้ายที่สุดแล้วความสามารถในการทำกำไรก็ขึ้นอยู่กับกลไกตลาดเหล่านี้
ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
แม้ว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากข้าวฟ่างจะสูงขึ้น แต่ผลผลิต - การผลิตต่อหน่วยของที่ดิน - ต่ำกว่าข้าวประมาณหกเท่า ข้าวฟ่างไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบสากล แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของชุดพืชผลที่สามารถปลูกได้อย่างยั่งยืนมากขึ้นและสามารถปรับให้เข้ากับสภาพอากาศแปรปรวนได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ระดับการปลูกข้าวในปัจจุบันก็ไม่ยั่งยืนเช่นกัน เนื่องจากน้ำบาดาลกำลังลดต่ำลง ที่สำคัญข้าวฟ่างสามารถปลูกได้บนที่ดินที่ไม่เหมาะที่จะปลูกข้าวได้
เป็นที่ชัดเจนว่าปัญจาบต้องกระจายพันธุ์จากข้าวและหันมาปลูกพืชทางเลือก แม้ว่าสิทธิพิเศษนี้จะอยู่กับเกษตรกร แต่รัฐบาลยังต้องส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการกระจายความเสี่ยงผ่านการอุดหนุนและการสนับสนุนนโยบายอื่นๆ ปัญจาบได้รับประโยชน์จากประชากรวัยหนุ่มสาวที่มีมรดกทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ประโยชน์จากมรดกนี้ กระจายพืชผล และช่วยให้การเกษตรของอินเดียมีความยั่งยืนมากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายประเทศตอนนี้เริ่มเตรียมตัวตั้งรับกับสภาวการณ์การขาดแคลนอาหารกันมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โควิด-19 สงครามรัสเซียยูเครน หรือพิษเศรษฐกิจต่างๆกำลังทำให้โลกเดินหน้าสู่ภัยความมั่นคงด้านอาหาร
หลายประเทศจึงเริ่มมองหาทางออกและการเกษตรคือกำลังหลักในการเลี้ยงปากท้องเราในอนาคต สหรัฐเริ่มตัดแต่งพันธุกรรมพืชป่าเพื่อให้เป็นพืชทนต่อสภาพอากาศรุนแรงได้ อินเดียมองหาพืชโบราณที่ทนแล้งได้ หลายประเทศเริ่มพัฒนาถั่วทนแล้ง ข้าวทนเค็ม มะเขือเทศที่ปลูกใต้น้ำได้ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน
ที่มาข้อมูล
https://th.bamboowoodmachine.com/news/the-characteristic-about-poplar-tree-poplar-w-20327116.html
https://www.icrisat.org/a-short-history-of-millets-and-how-we-are-recognising-their-importance-in-the-modern-context/
Cr.Picture : https://www.healthifyme.com/blog/millets-types-benefits-recipes-weight-loss/