หลักฐานใหม่เผยหลักฐานใหม่ เมื่อ 3,800 ปีก่อน โลกเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.5 สร้างสึนามิยาว 8,000 กิโลเมตร ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา
ในอดีต โลกเคยมีการบันทึกการเกิดสึนามิที่รุนแรงที่สุดในโลก นั่นก็คือแผ่นดินไหวในวาลดิเวีย (Valdivia) ประเทศชิลี ในปี 1960 ซึ่งวัดความรุนแรงได้ประมาณ 9.4-9.6 เมกะเควก (Magaquake) ซึ่งเป็นรูปแบบของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ของการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก สร้างความรุนแรงระดับ 9 ขึ้นไป คร่าชีวิตผู้คนไปได้มากถึง 6,000 ราย มีความสั่นไหวรุนแรงประมาณ 5 นาที แต่ก็สร้างความเสียหายได้มาก เมืองทั้งเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง มนุษย์ที่รอดมาได้ยังคงไม่วายพบกับหายนะใหม่คือคลื่นสึนามิสูง 24 เมตร
เหตุการณ์ในครานั้นถือเป็นสึนามิที่ใหญ่ที่สุดและแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์บันทึกมา แต่ตอนนี้นักวิทย์ได้พบหลักฐานใหม่ที่บ่งชี้ว่า ในอดีตมีเหตุการณ์เกิดขึ้นรุนแรงพอๆกับชิลีใน 1960 แต่ดูมีความรุนแรงและสร้างความเสียหายเยอะกว่ามาก แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อไม่นานมานี้ นักโบราณคดีได้พบหลักฐานใหม่ว่าในอดีตโลกเมื่อ 3,800 ปีก่อนเคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวขนาด 9.5 ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิยาว 8,000 กิโลเมตร ทำให้ประชากรมนุษย์ในสมัยนั้นต้องอพยพละทิ้งชายฝั่งไปเป็นเวลา 1,000 ปี
รายงานใหม่นี้ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Science Advances ว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ค้นพบนั้น เกิดจากการแตกร้าวของเปลือกโลกที่มีความยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากเทียบกับวาลดิเวียล่ะก็ ก็มีความขนาดสั้นไหวพอๆกัน แต่ในอดีตนั้นสร้างความเสียหายรุนแรงมากกว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักปีนเขาพบรองเท้าแตะเก่าแก่อายุ 1,700 ปีบนภูเขาห่างไกลในนอร์เวย์
พบหลอดเก่าแก่ที่สุดในโลก 5,500 ปี ยาว 1 เมตร ทำจากทองคำและเงิน ใช้ดื่มเบียร์
อังกฤษค้นพบซากฟอสซิล อิกทิโอซอรัส หรือ มังกรทะเล บริเวณอ่างเก็บน้ำ
เกิดขึ้นได้อย่างไร?
การเกิดขึ้นของแผ่นดินไหวไม่ว่าจะเป็นในอดีตเมื่อ 3,800 ปี หรือเมื่อปีค.ศ. 1960 ทั้งหมดล้วนมาจากการมุดตัวของแผ่นดิน 2 แผ่น หรือแผ่นเปลือกโลกแผ่นใดแผ่นหนึ่งถูกกดทับหรือมุดตัวไปอยู่ใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง และทำให้เกิดแรงเสียทาน ความหนาแน่นจำนวนมากรวมตัวกันจนจุดสัมผัสระหว่างแผ่นเปลือกโลกฉีกขาด ทำให้เกิดรอยร้าวขนาดมหึมาและปล่อยพลังงานออกมาในรูปของคลื่นไหวสะเทือนที่สามารถทำลายล้างสิ่งที่อยู่หน้าดินได้อย่างรอบคาบ รวมไปถึงใต้มหาสมุทรด้วย
พบได้อย่างไร?
หลักฐานของแผ่นดินไหวขนาดยักษ์พบได้ในสิ่งของในทะเลและชายฝั่ง (ก้อนหินและก้อนกรวด และทรายที่มีถิ่นกำเนิดในบริเวณชายฝั่ง) หินในทะเล เปลือกหอย และสิ่งมีชีวิตในทะเล ซึ่งนักวิจัยพบว่าสิ่งเหล่านี้พลัดถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากแผ่นดินเกิดในทะเลทรายอาตากามาของชิลี
เจมส์ กอฟฟ์ (James Goff) นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตันในอังกฤษ (University of Southampton) ผู้เขียนร่วมของการศึกษานี้ กล่าวว่า “เราพบหลักฐานของตะกอนทะเลและสัตว์ร้ายมากมายที่อาศัยอยู่อย่างเงียบๆในทะเล และเราพบว่าสิ่งเหล่านี้แทบจะมาอยู่ในแถบนี้ไม่ได้ แม้ว่าจะมากับพายุก็ตาม แต่พวกมันก็มาอยู่ที่นี่ได้ ซึ่งมันแปลก”
เพื่อให้เข้าใจว่าอะไรทำให้นำสิ่งเหล่านี้มาจากทะเลอันไกลโพ้นได้ นักวิจัยจึงใช้เรดิโอคาร์บอน เพื่อหาอายุของพวกมัน วิธีนี้จะใช้วิธีการวัดคาร์บอน 14 ซึ่งเป็นกัมมันตภาพรังสีไอโซโทปคาร์บอนที่พบในสัตว์เพื่อหาอายุของพวกมัน เนื่องจากคาร์บอน 14 มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลก ตะกอนจะดูดซับสิ่งต่างๆรอบตัวได้ง่ายขณะที่ก่อตัวไปกับสิ่งนั้นๆด้วย
หลังจากพบแร่ 17 แห่งในพื้นที่ขุดแยกเจ็ดแห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางเหนือของชิลี 600 กิโลเมตร นักวิจัยพบวัสดุหลายอย่างบนชายฝั่งที่มีอายุเก่าแก่มากๆ จึงบ่งชี้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกกวาดล้างเข้ามาในถิ่นแปลกหน้าบนแผ่นดินเมื่อราว ๆ 3,800 ปีก่อน
หลักฐานเพิ่มเติมยังมาในรูปแบบของโครงสร้างหินโบราณที่นักโบราณคดีขุดค้น กำแพงหินเหล่านี้สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ถูกพบอยู่ใต้ตะกอนสึนามิ จากซากปรักหักพังที่เอนเอียงก็พอคาดเดาได้ว่า พวกมันถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากจากการกวาดล้างของสึนามิในครานั้นด้วยเช่นกัน
“ประชากรในท้องถิ่นที่นั่นไม่มีอะไรเหลือเลย งานทางโบราณคดีของเราพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมเมื่อชุมชนเคลื่อนตัวเข้าฝั่งจนพ้นคลื่นสึนามิ กว่า 1,000 ปีก่อนที่ผู้คนจะกลับไปอาศัยอยู่ที่ชายฝั่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่น่าทึ่งมากเนื่องจากพวกเขาต้องอาศัยในทะเล เพื่อหาอาหาร” (เจมส์ กอฟฟ์)
ได้อะไรจากการค้นพบครั้งนี้?
เนื่องจากเป็นการค้นพบที่เก่าแก่ที่สุดในซีกโลกใต้ของแผ่นดินไหวและสึนามิที่คร่าชีวิตมนุษย์ นักวิจัยจึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะสำรวจพื้นที่ดังกล่าวต่อไป พวกเขาคิดว่างานวิจัยของพวกเขาสามารถแจ้งให้ทราบถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอนาคต
สิ่งที่ได้จากการค้นพบและการศึกษานี้คือการรับรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นเพื่อปรับปรุง แก้ไขและวางแผนป้องกันหากมันเกิดขึ้นอีกในอนาคต เรามิอาจรู้ได้ว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ที่ไหนบนโลก แต่การป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดได้คือปัจจัยสำคัญของการคงอยู่หรือการเอาชีวิตรอดของอารยธรรมมนุษย์
.
ที่มาข้อมูล
https://www.science.org/doi/10.1126/sciadv.abm2996