หลายๆคนมักรู้จักชื่อ Jo Malone ในฐานะน้ำหอมชื่อดังของโลกที่มีกลิ่นและโลโก้อันเป็นเอกลักษณ์ที่วงการน้ำหอมทั่วโลกให้การยอมรับแต่จริงๆแล้วประวัติแบรนด์ทำให้เรารู้ว่า Jo Malone นั้นไม่ใช่เจ้าของแบรนด์ตัวเองอีกต่อไป เพราะอะไรมาหาคำตอบกัน
Jo Malone เป็นสาวชาวอังกฤษ ที่ได้เติบโตมาพร้อมโรค “Dyslexia” โรคที่ทำให้คุณโจ มาโลน ไม่สามารถอ่านหรือสะกดคำและเธอก็ไม่สามารถเขียนหนังสือได้
ซึ่งโรคนี้ทำให้เธอลำบากตั้งแต่เกิด เพราะไม่ว่าจะตั้งใจเรียนแค่ไหน ก็ถูกตัดสินว่า “โง่และขี้เกียจ”
และชีวิตเธอยังแย่ไม่พอ เพราะเธอได้พบเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องออกจากโรงเรียนในวัย 15 ปี เพื่อกลับไปดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
เธอได้เริ่มทำงานในร้านดอกไม้ และต่อมาได้ทำงานเป็น Facialist หรือนักดูแลผิวหน้าให้ผู้หญิง ซึ่งเธอได้ซึมซับสกิลมาจากแม่ของเธอที่เป็นช่างเสริมสวย
ในวัยเด็กแทนที่จะได้เล่นกับเพื่อนๆ แต่เธอนั้นอาศัยอยู่แต่ในห้องแล็บ ที่ทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มาสก์ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เธอจึงคุ้นเคยกับส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นวัตถุดิบเกี่ยวกับการบำรุงผิว
และเมื่อเธอได้ทำงานเป็น Facialist ทำให้ต้องกลับมาที่แล็บอีกครั้ง แต่ด้วยโรค Dyslexia ทำให้เธอไม่สามารถอ่านสูตรหรือจดจำสูตรพวกนั้นได้เลย
วิธีที่คุณโจ มาโลน ใช้ในการจดจำสูตรไม่เหมือนใคร เพราะเธอใช้การ “จำผ่านกลิ่น” ซึ่งนี่คือพรสวรรค์ในการสร้างน้ำหอมของเธอจนปัจจุบัน
Jo Malone แจ้งเกิดด้วยการทำ Bath Oil กลิ่น Nutmeg & Ginger ซึ่งเป็นกลิ่นจันทน์เทศและขิง ซึ่งยังมีวางจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเห็นได้ว่าเธอไม่เคยมองว่าปัญหาเรื่องโรค Dyslexia ของเธอที่ไม่สามารถอ่านเขียนหรือสะกดคำได้
แต่เธอกลับนำมันมาเป็นการฝึกฝนและการค้นหากลิ่นใหม่ๆในรูปแบบที่เธอทำได้ ซึ่งไม่ได้ผ่านการอ่านและเขียน และโรค Dyslexia นี้เหมือนจะช่วยทำให้เธอ จดจำกลิ่น และแยกกลิ่นต่างๆได้ดีกว่าคนทั่วไป จนเธอสามารถสร้างธุรกิจน้ำหอมของตัวเองขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
ปี 1994 คุณโจ มาโลน ได้เปิดร้านน้ำหอมแห่งแรกตามชื่อตัวเอง และได้รับผลตอบรับที่ดีจนมีชื่อเสียงไปถึงขั้นราชวงศ์และดาราเซเลบริตี้หลากหลายคนให้การยอมรับในแบรนด์โจ มาโลน
Jo Malone ได้เปิดมาเพียง 5 ปี แต่แล้วก็ถูกแบรนด์เครื่องสำอางค์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Estee Lauder’ ซื้อกิจการทั้งหมดไป ซึ่งถึงจะซื้อกิจการไป คุณโจ มาโลน ก็ยังคงทำงานในตำแหน่ง Creative Director ให้แบรนด์เหมือนเดิม
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ คุณโจ มาโลน ได้ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม และจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 ปี และเธอก็ได้ต่อสู้กับโรคร้ายนี้ด้วยการผ่าตัดและรักษาจนเธอหายดีในที่สุด
เรื่องสุดช็อกที่เธอน่าจะเศร้าที่สุดในชีวิตคือ ผลจากการรักษาทำให้เธอ “สูญเสียการได้กลิ่น” หรือไม่ได้กลิ่นอะไรอีกต่อไป ซึ่งเป็นจุดแข็งและพรสวรรค์ของเธอ
เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคนในบริษัท จนตัดสินใจขอลาออกด้วยตัวเองจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ แถมยังเป็นชื่อตัวเอง
และที่น่าสงสารที่สุดคือ หลังจากคุณโจ มาโลนออกจากแบรนด์ของตัวเอง เธอยังคงติดสัญญากับบริษัท Estee Lauder ที่เธอจะไม่สามารถข้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความงามหรือน้ำหอมตลอด 5 ปี
และเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี เธอจึงรีบกลับเข้าวงการน้ำหอมทันที พร้อมกับแบรนด์ที่มีชื่อว่า “Jo Loves”
แต่แล้วเมื่อสภาวะสังคมและอะไรๆเปลี่ยนไปมาก แบรนด์นี้จึงไม่ประสบความสำเร็จนักใน 2 ปีแรก จนเธอเกือบล้มเลิกความฝันของตัวเอง
เธอจึงปรับให้แบรนด์เป็นที่น่าสนใจขึ้นด้วยคอนเซปต์ “Fragrance Tapas” เป็นบาร์น้ำหอมที่เน้นให้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ เหมือนเสิร์ฟอาหารหรูให้คุณได้ลองชิม
โดยได้ใช้ทาจีนปล่อยควันกลิ่นโคโลญน์ออกมา เพื่อให้คุณรับกลิ่นได้ชัดเจนและประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น
การพรีเซนต์สุดหรูของคลีนซิ่ง Jo Loves ด้วยการเขย่ากับน้ำแข็งในรูปแบบคล้ายการทำค็อกเทล และเทลงในแก้ว หรือโฟมครีมทาผิวที่ออกมาจากกระบอกวิปครีม และใช้แปรงทาลงบนผิวให้ทดลองสัมผัส
ซึ่งที่น่าสนใจคือคุณโจ มาโลน ได้เลือกทำเลที่ตั้งร้าน เป็นร้านดอกไม้ร้านที่เธอเคยได้ทำงานเป็นครั้งแรก เหมือนเป็นการกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ประวัติของแบรนด์ Jo Malone มีทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดและยังสามารถกลับมาที่จุดเริ่มต้นได้อย่างน่าสนใจ
เรื่องราวเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกอยากสนับสนุนคุณโจ มาโลนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามนี่จะทำให้คุณรู้ว่าหากคุณอยากจะสนับสนุนเจ้าของแบรนด์ Jo Malone จริงๆ คุณต้องสนับสนุนด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ ‘Jo Loves’