จีนมี 5G ใช้งานแล้วค่อนประเทศ และกำลังพัฒนา 6G ล่าสุดมีข่าวว่า จีนจะติดตั้งสถานีฐาน 5G กระจายทั่วโลก จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.15 ล้าน จะเพิ่มอีก 3 เท่า ภายในปี 2025 ให้เป็น 3.64 สถานีฐาน!
แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่า จีนจะมีเครือข่าย 5G ครอบคลุมทุกตำบลและเมืองทั้งหมด รวมถึงหมู่บ้านส่วนใหญ่ภายในปี 2025 และจำนวนสถานีฐาน 5G ต่อประชากร 10,000 คน จะมากถึง 26 สถานี!
ปี 2025 จีนจะเพิ่มสถานีฐาน 5G อีก 3 เท่า เขย่าเน็ตเวิร์กโลก!
สื่อ Chinadaily ระบุข้อความที่ Wang Zhiqin หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศจีน กล่าวไว้ว่า
"ปลายทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน 5 ปี (2021-2025) ฉบับที่ 14 จีนจะสร้างเครือข่าย 5G แบบสแตนด์อโลน (stand-alone 5G network) ที่ใหญ่และกว้างที่สุดในโลก โดยเบื้องต้น เครือข่ายจะครอบคลุมอย่างเต็มรูปแบบในเขตเมืองและชนบท"
สถานีฐาน 5G เขย่าเน็ตเวิร์กโลกยังไง?
ด้วยประสบการณ์ด้านการสอนและได้ทำแล็บที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G SPRiNG มีโอกาสได้พูดคุยกับ อ้ายจง หรือ ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ม.เชียงใหม่ เกี่ยวกับการพัฒนา แนวทางที่จีนใช้ประโยชน์จาก 5G สมรภูมิเน็ตเวิร์ก ตลอดจน TechWar
อ่านเพิ่ม
อ้ายจง : สมัยผมไปทำวิจัยในแล็บที่ซีอาน มหาวิทยาลัยซีเตี้ยน คือแล็บ Wireless communication networks and security, part of State key lab of integrated service network ในปี 2014 ตอนนั้นเขาก็โหมวิจัยด้าน 5G กันหนัก และเริ่มๆ พูดถึง 6G ด้วย แต่ยังเน้นไปที่ 5G
ที่สำคัญ ตลาดผู้บริโภคในจีนที่ใหญ่มากและพร้อมโอบกอดเทคโนโลยีใหม่ๆ ของบ้านเขาเองครับ ดังนั้น นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบ ที่เรียกว่า Nationalism Consume ซึ่งแข็งแกร่งมาก
อ้ายจง : จีนได้เปรียบใน TechWar ถ้าว่ากันตามตรง ผมคิดว่าเป็นในมุมนโยบายจากรัฐบาลเลย คือเขาทำให้เราเห็นแล้วว่า เขาเอาจริงกับนโยบาย Made in China 2025 คือสร้างนวัตกรรมจีน ไม่ใช่แค่ใช้ในจีนแต่ส่งทั่วโลก จีนไม่ใช่แค่โรงงานโลกอีกต่อไป แต่จีนคือผู้ผลิตนวัตกรรมโลกด้วย
เราจึงได้เห็นจีนสนับสนุนผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีในจีน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ 5G เพราะมันเป็นรากฐานของเครือข่ายการสื่อสารที่จีนต้องการเอามาเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมล้ำๆ อีก เช่น AI, Robotics และพวกการทำงานอัตโนมัติทั้งหลาย รวมถึงยานยนต์ไร้คนขับ
อ้ายจง : ดังนั้น อย่าแปลกใจที่ตอน Huawei โดนอเมริกาแบน มันจะเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลเลย ที่ทางการจีนออกหน้าเต็มๆ และพอจีนรู้จุดด้อยว่า ข้อด้อยจุดใหญ่เลยที่ทำให้ Huawei รวมถึงผู้พัฒนา 5G และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในจีนเจอปัญหาอาจไปไม่สุดแล้วยังต้องพึ่งพาอเมริกา คือการพัฒนาชิป
ปี 2019 ช่วงที่ Huawei และจีนมีปัญหาหนักๆ กับอเมริกา รัฐบาลจีนจึงออกมาตรการ ยกเว้นและปรับลดภาษีให้แก่บริษัทจีนที่ผลิตชิปและซอฟต์แวร์ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งยกเว้นภาษีเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นลดภาษี 50% ของอัตราปกติ เป็นเวลาติดต่อกันอีก 3 ปี
อ้ายจง : นโยบายปรับลดภาษีเพื่อผู้ผลิตชิปและซอฟต์แวร์จีน มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้จีนสามารถผลิตสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาอเมริกาอีกต่อไป หลังจากที่เกิดสงครามการค้า และบริษัทอุปกรณ์ไอทียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Huawei โดนอเมริกาและบริษัทต่างๆ ในอเมริกาแบน
จีนถือเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้าประเภทชิปมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยมีมูลค่านำเข้าสูงถึง 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อจีนรู้จุดด้อย แต่ก็รู้จุดแข็งเช่นกันว่า พร้อมทุ่ม มีงบสนับสนุน จึงเอามากลบจุดด้อย
การทุ่มเทเงินทุนในการวิจัยและการศึกษาของจีน ถือเป็นข้อได้เปรียบใน TechWar ของจีนได้เหมือนกันครับ อย่างตอนที่จีนพัฒนา 5G จนใช้เป็น commercial จีนเองก็ซุ่มศึกษาและพัฒนา 6G แล้ว ซึ่งตั้งแต่ 2018 รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีนก็ออกมาเผยต่อสาธารณชนว่า จีนกำลังวิจัยอยู่
อ้ายจง : ประเด็น 5G มันไม่ใช่แค่ประเด็นของการทำเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จีนใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศในทุกมิติ
ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โลกออนไลน์ที่เชื่อมได้อย่างรวดเร็ว และขยับมาที่ชีวิตประจำวัน เราจะได้เห็นอุปกรณ์ต่างๆ ในจีนที่สามารถเชื่อม 5G ได้ครอบคลุมและหลากหลายขึ้น อย่างการทำ IoTs เป็น Smart Home, Smart Office
การให้บริการสาธารณะก็จะเกี่ยวกับ 5G มากขึ้น รวมถึงสาธารณสุข ที่ตอนนี้จีนเริ่มนำมาใช้ในระบบแพทย์ทางไกลแล้ว อย่างรถพยาบาลก็มีติดตั้งระบบวินิจฉัยผ่านทางไกลโดยใช้ 5G เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย
"อย่างที่เราได้เห็นจีนไปตั้งเสาตั้งฐาน 5G ตามเขตชนบท เขตที่ราบสูง เช่น ทิเบต เพราะเขาต้องการให้มันครอบคลุมทั้งประเทศเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เราจึงได้เห็นประชากร 99% เล่นเน็ตผ่านมือถือ"
พูดง่ายๆ ว่า 5G ก้าวมาสู่ทุกสิ่งในจีน รอบตัวเลยครับ มันจะช่วยทำให้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว beyond ขึ้น และที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่จีนพยายามอย่างหนักก็พวกปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ พวกนี้ก็ใช้ร่วมกับ 5G แน่นอน ยานยนต์ไร้คนขับก็ด้วย ซึ่งมีการนำร่องไปแล้วที่เซี่ยงไฮ้ แต่ว่าจีนเคยตั้งเป้าไว้ว่า จะให้ยานยนต์ไร้คนขับของจีนบรรลุประสิทธิภาพสูงกว่านี้ ต้องมี 6G โดยจีนตั้งเป้าใช้ 6G เชิงพาณิชย์ภายในปี 2030 หรืออีก 9 ปีต่อจากนี้ครับ
ที่มา