จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล พบประชาชนมองว่าการระบาดระลอกนี้รุนแรงขยายวงกว้างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา ถึงแม้จะเริ่มคุ้นชินกับสถานการณ์ แต่ก็ยังกังวลเรื่องการติดเชื้อและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการเชิงรุก การตรวจหาเชื้ออย่างทั่วถึง และการเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ การรับมือที่ล่าช้าเช่นนี้จึงกังวลว่าอาจจะมีการระบาดระลอก 4 ตามมา
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี “คนไทยกับโควิด-19 ระลอก 3" กลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,082 คน สำรวจวันที่ 16-22 เมษายน 2564 พบว่า ประชาชนมองว่าการระบาดระลอก 3 นี้มีการแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ร้อยละ 74.29 ทำให้ตื่นตระหนกและวิตกกังวลมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ร้อยละ 68.40 มองว่าระลอก 3 นี้มีความรุนแรงมากที่สุด ร้อยละ 70.51 จะป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ ร้อยละ 83.90 มองว่ารัฐบาลน่าจะรับมือได้ ร้อยละ 39.19 โดยคาดว่าจะใช้เวลามากกว่า 3 เดือน จึงจะดีขึ้น ร้อยละ 50.58 และอาจจะมีการระบาดระลอก 4 ร้อยละ 58.89
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ขวัญหทัย เชิดชู คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า การระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 สายพันธุ์อังกฤษที่มีความรุนแรงและติดได้ง่ายขึ้น ทำให้ประเทศไทยต้องเจอกับวิกฤตเหมือนช่วงต้นปี 2020 ทำไมจึงเกิดซ้ำกับคนไทยอีกครั้ง!! เราต้องปรับในมุมมองของกลุ่มผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เขาเลือกที่จะเดินทางหรือเลือกลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเยอะที่สุด ที่มี Mass Vaccination เพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ไม่ได้เลือกไปในกลุ่มประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อย ต้องยอมรับว่าวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการวัคซีน COVID ที่หลงประเด็นของรัฐบาล พลาดเรื่องการจัดหาวัคซีน ดั่งคำพูดที่ว่า No Vaccine No Money น่าจะใช่ ซึ่งสอดคล้องกับผลโพลที่รัฐบาลน่าจะรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 ครั้งนี้ได้เพียง 39.19% และประชาชนไม่แน่ใจถึง 35.73% เมื่อไม่มีการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศให้เกิน 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ประเทศเราก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันหมู่ และรายได้หลักของประเทศคือการท่องเที่ยว
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเปิดประเทศได้อย่างไร ยิ่งฉีดวัคซีนให้ประชากรช้าเท่าไร ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศมากเท่านั้น เสียหายมหาศาล