ในปัจจุบันข่าวการฆ่าตัวตายที่พบเห็นนั้น มีส่วนเชื่อมโยงกับ โรคซึมเศร้า อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตที่พบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากถึง 1.5 ล้านคนเลยทีเดียว
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า โรคซึมเศร้า เป็นเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วครู่ หลังจากได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจและสามารถรักษาได้ด้วยการให้กำลังใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคซึมเศร้ามีความรุนแรงกว่าที่คิด หากปล่อยไว้และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง อันเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิดได้แก่ ซีโรโตนิน (Serotonin) นอร์เอปิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมไปถึงสุขภาพกาย มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม สารเคมีในสมอง สภาพแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูของพ่อแม่ อิทธิพลจากคนใกล้ชิด การเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ลักษณะนิสัย โดยเฉพาะคนที่อ่อนไหวง่าย คิดมาก มองโลกในแง่ลบ
อาการของโรคซึมเศร้าที่สังเกตได้จะมี ดังนี้
- อาการเศร้า
- หดหู่
- ซึม
- หงุดหงิด
-โกรธง่าย
- มีอารมณ์รุนแรง
- เบื่อหน่าย
- หมดความสนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เคยชอบมากๆ
- นอนไม่หลับ หรือหลับๆ ตื่นๆ หรือหลับมากเกินไป
- เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป
- เหนื่อยง่าย
- ไม่ค่อยมีแรง ไม่มีพลัง
- ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
- รู้สึกตัวเองไร้ค่า
- ไม่มั่นใจในตัวเอง
-โทษตัวเอง
- มีความคิดทำร้ายตัวเอง
- อยากฆ่าตัวตาย
อาการของโรคที่กล่าวมาข้างต้น หากพบว่าเป็นอยู่เกือบตลอดเวลา และเป็นติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 14 วัน ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
โรคซึมเศร้า สามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ สอบถามอาการและเรื่องราวจากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิด หรือทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อให้เข้าใจและแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคทางจิตเวชอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า ในบางรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการที่พบ อาจมีการตรวจร่างกายและส่งตรวจพิเศษที่จำเป็น
แนวทางการรักษานั้นมีหลายวิธี ได้แก่ รักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งในปัจจุบันยารักษาโรคซึมเศร้าถือเป็นยาที่ปลอดภัย ไม่ค่อยมีผลข้างเคียง ไม่ทำให้เกิดการติดยา และไม่ทำให้เกิดอาการมึนงงอย่างที่เข้าใจผิดกัน
นอกจากนี้ควรกินยาตามที่แพทย์สั่ง และไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด รักษาด้วยจิตบำบัดและการพูดคุยให้คำปรึกษา โดยแพทย์จะช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ และแนวทางในการปรับตัว หรือแม้แต่การหาสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง และรักษาด้วยไฟฟ้าในรายที่มีอาการรุนแรง
การรับประทานอาหาร ควรทานให้ครบ 5 หมู่ โดยหากขาดสารอาหารบางอย่างไป เช่น โอเมก้า 3 วิตามินอี วิตามินซี วิตามินดี ทองแดง และธาตุเหล็ก อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น
หมั่นออกกำลังกาย โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 30-40 นาที และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
ด้านการใช้ชีวิต ควรหลีกเลี่ยงการนำตนเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้จิตใจหดหู่ ฝึกคิดบวก ควรหาเวลาออกไปทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ สนุกสนาน ทำให้ตนเองรู้สึกมั่นใจและมีคุณค่า และได้ใช้เวลาร่วมกับคนอื่นๆ มากกว่าที่จะอยู่คนเดียว
หากคนใกล้ชิดมีอาการที่เข้าข่าย โรคซึมเศร้า สิ่งที่ต้องทำคือ
- ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และย้ำเตือนให้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
- ระวังเรื่องการใช้คำพูดที่บั่นทอน ซ้ำเติม หรือดูเหมือนปัญหาของเขาเป็นเรื่องเล็ก เช่น เรื่องแค่นี้เอง คนอื่นยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย
- ให้กำลังใจด้วยคำพูดดี เช่น ฉันอยู่ข้างๆ เธอนะ เธอยังมีฉันอยู่นะ พูดคุยแบบรับฟังโดยไม่ตัดสิน เป็นต้นรวมถึงแสดงออกผ่านการกระทำ เช่น กอด จับมือ เป็นต้น
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ไม่ใช่ความอ่อนแอทางด้านจิตใจของผู้ป่วยแต่อย่างใด และไม่ใช่โรคประหลาด โรคนี้เป็นได้ก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยไม่ต้องกลัวที่จะเข้ารับการรักษา เพราะยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ อาการก็จะยิ่งดีขึ้นเร็วเท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์อดิศร มนูสาร อายุรแพทย์ โรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ สามารถติดตามสาระดีดีเกี่ยวกับการแพทย์ได้ที่เฟซบุ๊ก : Principal Healthcare Company
การฆ่าตัวตายและวิธีการรับมือกับปัญหาในช่วงการระบาดของ โควิด 19