SHORT CUT
สงครามฝิ่นคือสงครามที่จีนพ่ายแพ้ต่อชาติตะวันกตและทำให้ประเทศตกต่ำ เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของจีน ที่ทำให้จีนมุ่งมั่นพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมตะวันตก
ประเทศจีนเคยเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลกมาหลายพันปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 19 ที่จีนต้องเผชิญกับ “ศตวรรษแห่งความอัปยศ” (Century of Humiliation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นที่เปิดประตูให้จักรวรรดินิยมตะวันตกเข้ารุกรานและยึดอำนาจอธิปไตยของจีน
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงส่งผลให้จีนต้องสูญเสียดินแดนและอธิปไตย แต่ยังส่งผลลึกซึ้งต่อจิตวิญญาณของประชาชนจีน และกลายมาเป็นแรงผลักดันสำคัญในการฟื้นฟูชาติครั้งใหญ่ จนจีนกลับมายืนหยัดเป็นมหาอำนาจระดับโลกในศตวรรษที่ 21 อย่างภาคภูมิ
ที่มาของสงครามฝิ่น เกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อังกฤษเริ่มขาดดุลการค้าอย่างรุนแรงจากการนำเข้าสินค้าจีน เช่น ชา ผ้าไหม และเครื่องลายคราม ในขณะที่จีนไม่ต้องการสินค้าตะวันตก จึงใช้ระบบ “เงินตราเงินแท้” (Silver Standard) แลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งทำให้เงินออกจากอังกฤษอย่างต่อเนื่อง
เพื่อแก้ปัญหา อังกฤษจึงเริ่มลักลอบส่งฝิ่นจากอินเดีย (ณ ขณะนั้นคืออาณานิคมของอังกฤษ) เข้ามาจำหน่ายในจีน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกวางโจว ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในหมู่ประชาชนจีนอย่างกว้างขวาง ส่งผลเสียต่อสุขภาพแรงงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ
รัฐบาลราชวงศ์ชิงตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ จึงมีการส่ง หลิน เจ๋อสวี ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ไปทำลายฝิ่นในเมืองกวางโจว (1839) ซึ่งจุดชนวนความไม่พอใจต่ออังกฤษ และกลายเป็นชนวนของ สงครามฝิ่นครั้งที่ 1
สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1839–1842) จึงป็นผลจากความพยายามของจักรวรรดิอังกฤษในการเปิดตลาดจีนเพื่อนำฝิ่นจากอินเดียมาขายยังจีน แม้รัฐบาลราชวงศ์ชิงจะพยายามกวาดล้างฝิ่นด้วยนโยบายเข้มงวด แต่กลับกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งทางการทูตและนำไปสู่การรุกรานของอังกฤษ
จีนพ่ายแพ้อย่างราบคาบและถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญานานกิง" (Treaty of Nanking) เมื่อปี ค.ศ. 1842 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมฉบับแรก (Unequal Treaty) โดยจีนต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษ เปิดท่าเรือการค้า และจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก
เกิดขึ้นโดยอังกฤษร่วมกับฝรั่งเศสเปิดสงครามครั้งที่ 2 เมื่อจีนพยายามจับกุมเรือค้าของอังกฤษ (เรือ "Arrow") ซึ่งถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิเชิงสนธิสัญญา ทั้งสองชาติจึงใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีจีนอีกครั้ง
ส่งผลให้ กองทัพพันธมิตรบุกถึงกรุงปักกิ่ง เผา “พระราชวังฤดูร้อน” (Old Summer Palace) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจราชสำนักชิง
ต่อมาจีนต้องลงนามใน สนธิสัญญาเทียนจิน (1858) และ อนุสัญญาปักกิ่ง (1860) ยอมให้ มิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาในจีนได้ ชาวต่างชาติเดินทางเข้าเมืองหลวงได้อย่างเสรี ขยายสิทธิของต่างชาติและเปิดท่าเรือเพิ่มเติม
ยิ่งตอกย้ำความอ่อนแอของจีน เพราะต้องเผชิญกับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส สุดท้ายกรุงปักกิ่งถูกเผา และจีนต้องลงนามในสนธิสัญญาเพิ่มเติมซึ่งยอมให้ต่างชาติมีสิทธิพิเศษทางกฎหมายและศาสนาในดินแดนจีน
ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 จีนตกอยู่ภายใต้การครอบงำของชาติตะวันตกและญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยสูญเสียดินแดนหลายส่วนให้กับจักรวรรดิต่างๆ เช่น: ฮ่องกงให้กับอังกฤษ (1842, 1898) ไต้หวันให้ญี่ปุ่น (1895) แมนจูเรียบางส่วนให้รัสเซีย เขตเช่าต่างๆ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ
นอกจากนี้ จีนยังถูกบังคับให้เปิดท่าเรือ เพิ่มสิทธิพิเศษให้กับมิชชันนารีและพ่อค้าตะวันตก ขณะที่ภายในประเทศตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตยและการกบฏหลายระลอก เช่น กบฏไท่ผิง (1850–1864) และกบฏนักมวย (1899–1901)
จะเห็นได้ว่าสงครามฝิ่นส่งผลกระทบต่อจีนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ชาติตะวันตกอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมัน ญี่ปุ่น เข้ามา “แบ่งเค้กจีน” ผ่านการตั้งเขตเช่า กดดันให้จีนลงนามในสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมจำนวนมาก ทำให้ สูญเสียดินแดนรอบนอก เช่น ไต้หวัน (ให้ญี่ปุ่น), ฮ่องกง (ให้อังกฤษ), แมนจูเรีย (ให้รัสเซีย) ระบบศักดินาและราชวงศ์ชิงอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนนำไปสู่การล่มสลายปี 1911 โดยจักพรรดิองค์สุดท้ายคือ ปูยี
เกิดการกบฏภายใน เช่น กบฏไท่ผิง (20 ล้านคนเสียชีวิต), กบฏนักมวย (ตอบโต้ต่างชาติ) ประชาชนขาดศรัทธาในผู้นำ และชาติจีนเสื่อมศักดิ์ศรีในเวทีโลก
หลังราชวงศ์ชิงล่มสลายเมื่อปี 1911 จีนเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐภายใต้ซุนยัตเซ็น และต่อมาภายใต้เจียงไคเช็คแห่งพรรคก๊กมินตั๋ง อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเผชิญสงครามกลางเมืองและการรุกรานของญี่ปุ่น (1937–1945) จนกระทั่งปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดยเหมา เจ๋อตง ชนะสงครามกลางเมืองและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
แม้ในยุคเหมา จีนจะเน้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่เข้มข้น เช่น “ก้าวกระโดดครั้งใหญ่” และ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ซึ่งนำไปสู่ความอดอยากและความปั่นป่วน แต่หลังปี 1978 ภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง จีนเริ่มนโยบาย “ปฏิรูปและเปิดประเทศ” (Reform and Opening Up)
หลังสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ จีนภายใต้ เหมา เจ๋อตง ประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” เมื่อปี 1949 และใช้ยุทธศาสตร์ “ยืนบนขาตัวเอง” ต่อต้านจักรวรรดินิยมโดยตรง แม้จะมีความล้มเหลวบางช่วง (เช่น ก้าวกระโดดครั้งใหญ่, ปฏิวัติวัฒนธรรม) แต่ก็วางรากฐานของระบบรัฐรวมศูนย์ที่เข้มแข็ง
เติ้งเน้นแนวทาง “สังคมนิยมแบบตลาด” ที่เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones) และผลักดันให้จีนเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในศตวรรษที่ 21
ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เซินเจิ้น เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ สนับสนุนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และตลาดเสรีในกรอบคอมมิวนิสต์
ในยุคของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (ตั้งแต่ปี 2012) จีนมุ่งสร้าง “ความฝันจีน” (Chinese Dream) เพื่อฟื้นฟูชาติให้กลับมายิ่งใหญ่เทียบเท่าตะวันตก ผ่านโครงการสำคัญ เช่น:
หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ
จากประเทศที่เคยถูกกดขี่ รังแก และแบ่งแยกจากอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตก จีนได้เรียนรู้จากบทเรียนในอดีต และใช้ความอัปยศเป็นแรงผลักดันในการสร้างชาติใหม่ ภายใต้การปฏิรูปและกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสมผสานอุดมการณ์กับความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ จีนสามารถพลิกสถานะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลกในยุคปัจจุบัน
การฟื้นตัวของจีนไม่เพียงเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจโลกอย่างลึกซึ้ง และเป็นแรงบันดาลใจแก่ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก
อ้างอิง
Lovell, Julia. The Opium War: Drugs, Dreams and the Making of China. Picador, 2011. / Fairbank, John K. China: A New History. Harvard University Press, 2006. / Spence, Jonathan D. The Search for Modern China. W. W. Norton & Company, 1990. / Dikötter, Frank. The Tragedy of Liberation: A History of the Chinese Revolution 1945–1957. Bloomsbury, 2013. / Economy, Elizabeth. The Third Revolution: Xi Jinping and the New Chinese State. Oxford University Press, 2018. / Zeng, Jinghan. "The Chinese Dream: Concept and Context." Journal of Chinese Political Science 19, no. 1 (2014): 1–13.