SHORT CUT
ระบอบกษัตริย์เนปาล จากวันสังหารหมู่ สู่การเรียกร้องให้รื้อฟื้นราชวงศ์ ในวันที่ประชาชนบางกลุ่มเบื่อนักการเมือง
เนปาล ประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์
ซึ่งเป็นสิ่งที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เป็นผลจากปัจจัยที่ซับซ้อนหลายประการ ได้แก่ ความขัดแย้งทางการเมืองภายใน สงครามกลางเมืองที่ยาวนาน, ความไม่พอใจของประชาชนต่อการใช้อำนาจของกษัตริย์บางพระองค์ และอิทธิพลจากกระแสประชาธิปไตยโลก
ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในเนปาลเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 จากการแข่งขันเพื่ออำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พยายามรักษาบทบาทและอิทธิพลในการเมือง
พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเนปาลีคองแกรส ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่จัดตั้งรัฐบาลหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 1959 อย่างไรก็ตาม พรรคนี้ก็ประสบปัญหาความขัดแย้งภายใน
กลุ่มคอมมิวนิสต์แนวเหมาอิสต์ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถจัดตั้งพรรคการเมืองของตนเองได้ในปี 1994 กลุ่มนี้มีเป้าหมายที่จะ "ปลดแอกประชาชน" ผ่าน "สงครามประชาชน" และล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
กลุ่มกบฏเหมาอิสต์ได้หันหลังให้กับการต่อสู้ในระบบรัฐสภา และเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อต่อสู้เพื่อคนยากจนในชนบทและสนับสนุนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเหล่านี้ได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น และกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อรัฐบาล
เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความนิยมของสถาบันกษัตริย์คือ เหตุการณ์สังหารหมู่ในพระราชวังเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544 กษัตริย์พิเรนทรา, พระราชินีไอศวรรยา, และสมาชิกราชวงศ์อีก 7 พระองค์ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
แม้ว่าสำนักพระราชวังจะแถลงว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากอุบัติเหตุปืนลั่นโดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา แต่ก็ยังมีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง บางกระแสข่าวระบุว่า มกุฎราชกุมารทรงบันดาลโทสะขณะวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการอภิเษกสมรส เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและความเศร้าโศกให้กับชาวเนปาล และสั่นคลอนความเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์
หลังจากการสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา, เจ้าชายชญาเนนทรา (พระอนุชาของกษัตริย์พิเรนทรา) ได้ขึ้นครองราชย์ อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ชญาเนนทราไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
กษัตริย์ชญาเนนทราพยายามที่จะควบคุมรัฐบาลและใช้อำนาจอย่างเข้มงวด โดยอ้างถึงความล้มเหลวของพรรคการเมืองต่างๆ ในปี 2002 พระองค์ทรงยุบสภาและสนับสนุนให้นายเชอร์ บาฮาดูร์ ดิวบาเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในปลายปีเดียวกัน พระองค์ทรงปลดนายดิวบาและเข้าควบคุมอำนาจรัฐบาลโดยตรง ระหว่างปี 2002 ถึง 2005 พระองค์ทรงเลือกและปลดนายกรัฐมนตรีถึงสามคน เนื่องจากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งและเจรจากับกลุ่มกบฏได้ ในที่สุด พระองค์ตัดสินใจยึดอำนาจในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2005
การกระทำเหล่านี้ นำไปสู่การประท้วงและการต่อต้านจากประชาชนและพรรคการเมืองต่างๆ พระองค์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าต้องการยึดอำนาจและสร้างระบอบกษัตริย์ที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ การควบคุมและปราบปรามผู้เห็นต่าง และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสื่อมวลชน ทำให้สถานการณ์ทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
การประท้วงครั้งใหญ่และการกดดันจากนานาชาติ ทำให้กษัตริย์ชญาเนนทราต้องยอมให้พรรคการเมืองต่างๆ จัดตั้งรัฐบาลและทำข้อตกลงสันติภาพกับกบฏเหมาอิสต์
รัฐสภาเนปาลได้ยกเลิกอำนาจที่สำคัญของกษัตริย์ รวมทั้งอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย. บทบาทของพระองค์ลดลงเป็นเพียงประมุขของรัฐในเชิงสัญลักษณ์
รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของกษัตริย์ชญาเนนทราที่สืบทอดมาจากพระเชษฐาของพระองค์ให้เป็นของชาติ
ในปี 2007 รัฐบาลเนปาลเตรียมยกเลิกระบบกษัตริย์ รัฐสภามีมติให้ยุติสถาบันกษัตริย์อย่างเป็นทางการ และประกาศให้เนปาลเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยในวันที่ 28 พฤษภาคม 2008 การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการทำประชามติ
เอกสารจาก East Asia Forum ชี้ให้เห็นว่า ภาพรวมปี 2023: เนปาลเผชิญกับความไม่มั่นคงทางการเมือง แต่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจมหภาคที่ดีขึ้น รวมถึงการเติบโตของ GDP, เสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการจดทะเบียนการแต่งงานของคนเพศเดียวกันครั้งแรก และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่การเมือง: นายกรัฐมนตรี Pushpa Kamal Dahal พยายามรักษาอำนาจ ท่ามกลางความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล การดำเนินงานของรัฐสภาเป็นไปอย่างเชื่องช้า มีกฎหมายที่รอการพิจารณาและอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2019
กลุ่มผู้นำ "Big Three": Dahal, Sher Bahadur Deuba และ Khadga Prasad Sharma Oli ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้อำนาจในทางที่ผิด เอื้อประโยชน์พวกพ้อง และปกป้องผู้กระทำผิด
การเลือกตั้ง 2027: พรรคการเมืองอิสระและนักการเมืองรุ่นใหม่ได้รับความสนใจจากประชาชน โดยเฉพาะนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยอิสระ เช่น Balendra Shah และ Harka Sampang
เรื่องอื้อฉาว: เกิดเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่อง เช่น คดีหลอกลวงผู้ลี้ภัยชาวภูฏาน, คดีที่ดิน Lalita Niwas และคดีลักลอบขนทอง ซึ่งผลทางกฎหมายขึ้นอยู่กับการคุ้มครองจากกลุ่ม "Big Three"
เศรษฐกิจ: ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคโดยรวมเป็นไปในทิศทางบวก แต่เนปาลยังคงต้องพึ่งพาการส่งเงินกลับประเทศของแรงงานต่างชาติ และเผชิญกับปัญหาการย้ายถิ่นฐานเพื่อการศึกษาและทำงาน
ประเด็นทางสังคม: มีความตึงเครียดทางศาสนา และเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: เนปาลได้รับความสนใจจากต่างชาติมากขึ้น และพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับจีน, อินเดีย และสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมการส่งออกพลังงานและการท่องเที่ยว
ความท้าทาย: เนปาลต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความไม่มั่นคงทางการเมือง, การทุจริต, การย้ายถิ่นฐาน และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ขณะที่ The Kathmandu Post รายงานให้เห็นว่า เนปาลมีคะแนนสูงในด้านการทุจริตในระดับโลก สำหรับนักลงทุนต่างชาติ คอร์รัปชันและการจ่ายสินบนที่เกี่ยวข้องถือเป็นต้นทุนแฝง ซึ่งเป็น "ภาษีลอบเร้น" ที่เพิ่มต้นทุนโครงการและการดำเนินงาน ในการประมูลสัญญา ผู้ที่เสนอสินบนได้สูงที่สุดมักเป็นผู้ที่ได้รับสัญญา
กรณีอื้อฉาวล่าสุด: กรณีอื้อฉาวล่าสุดเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวภูฏานปลอมแปลงแสดงให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตที่ร้ายแรงในเนปาล มีรายงานว่าผู้คนจ่ายเงินหลายล้านเพื่อที่จะได้ไปตั้งรกรากในต่างประเทศภายใต้สถานะผู้ลี้ภัยชาวภูฏาน โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง
การดำเนินการที่ผิดปกติ: สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตคือความรวดเร็วในการสอบสวนและการจับกุมผู้ต้องหา ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 16 คน ซึ่งรวมถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน Top Bahadur Rayamajhi, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย Bal Krishna Khand และอดีตเลขานุการกระทรวงมหาดไทย Tek Narayan Pandey
แรงกดดันทางการเมือง: มีการคาดการณ์ว่าการที่ผู้นำพรรคการเมืองใหญ่ 3 พรรคมาพบกันอย่างเร่งด่วนนั้น เป็นความพยายามที่จะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ ในอดีต การทุจริตจำนวนมากไม่ได้รับการลงโทษ เรื่องอื้อฉาวที่สำคัญบางเรื่อง ได้แก่ เรื่องอื้อฉาวการยึดครองที่ดิน Baluwatar และ Lalita Niwas, การจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์, เครื่องบินลำตัวกว้าง และโรงพิมพ์ความปลอดภัย
ถึงแม้ว่าเนปาลจะเปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณรัฐแล้ว แต่ก็มีกระแสเรียกร้องให้รื้อฟื้นระบอบกษัตริย์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นความเบื่อหน่ายนักการเมือง ประชาชนบางส่วนเริ่มเบื่อหน่ายนักการเมืองที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้
ตลอดจนกระแสชาตินิยมฮินดู พรรคการเมืองบางพรรคชูนโยบาย "เปลี่ยนเนปาลให้เป็นรัฐฮินดู" และรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ในฐานะผู้พิทักษ์ศาสนาฮินดู
ขบวนการรื้อฟื้นกษัตริย์โยงระบอบกษัตริย์เข้ากับความหวังที่ชาวเนปาลจะมีเกียรติภูมิอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ชญาเนนทระเองก็มีประวัติด่างพร้อย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์
การเปลี่ยนแปลงสู่สาธารณรัฐถือเป็นจุดสิ้นสุดของสถาบันกษัตริย์ที่มีมายาวนานในเนปาล อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสงบและความเจริญรุ่งเรืองในทันที เนปาลยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองและเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีบางกลุ่มที่เรียกร้องให้ฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์แต่ดูเหมือนว่าเนปาลได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ในฐานะสาธารณรัฐแล้ว อนาคตของเนปาลยังคงไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่
อ้างอิง
Posttoday1 / Posttoday2 / ประชาไท / คมชัดลึก / Royal World Thailand / East Asai Forum /