เอเวอเรสต์ สุสานที่สูงที่สุดในโลก โลกร้อน น้ำแข็งละลายทำศพโผล่

เอเวอรเรสต์เป็นยอดเขาที่มีความสูง 8,849 เมตร ถือว่าสูงและท้าทายมาก ๆ ดึงดูดให้นักปีนเขาขึ้นไปพิชิตกันทุก ๆ ปี แต่นั่นยังชาเลนจ์ไม่พอ ความหนาวและออกซิเจนที่ต่ำ ระยะเวลายาวนาน ความชัน บวกกับลมแรงก็เป็นอปุสรรค์สำคัญที่ทำให้หลายคนพิชิตไม่สำเร็จและไม่ได้กลับบ้าน หรือก็คือ กลายเป็นศพนั่นเอง

นั่นเลยทำให้เอเวอเรสต์ มีทีมงานทำความสะอาดเอเวอเรสต์ ซึ่งจะช่วยเก็บกวาดขยะและนำศพที่พบกลับลงมา

พันตรี Aditya Karki เป็นผู้นำทีมทำความสะอาดและเจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้เล่าผ่านสื่อ AFP และอีกหลาย ๆ สื่อนะคะว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราพบศพบนเอเวอเรสต์มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน

อุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติส่งผลให้น้ำแข็งที่ปกคลุมเอเวอเรสต์ละลาย ความหนาของชั้นน้ำแข็งบางลง ทำให้เราพบร่างของผู้เสียชีวิตได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งก็คือนักปีนเขาที่หายตัวไปในระหว่างการพิชิตตามความฝัน

ภาวะโลกร้อนทำให้เราได้รับรู้ว่า เขาผู้พิชิตแห่งนี้ซ่อนร่างไร้ลมหายใจไว้มากเพียงใด ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ทีมงานได้เก็บศพที่มีสภาพแช่แข็งได้ 5 ศพ บางร่างก็เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น

นอกจากนี้นาย Karki ยังเล่าอีกนะคะว่า งานนี้เป็นงานที่ยากและลำบากมาก ๆ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงท่ามกลางอุปสรรคของสภาพอากาศ ทุบน้ำแข็งด้วยขวาน และบางครั้งก็ต้องใช้น้ำเดือดเพื่อละลายน้ำแข็งที่จับตัวบนศพออก

ตั้งแต่ปี 1920 นับตั้งแต่มีการสำรวจเอเวอเรสต์ มีผู้คนเสียชีวิตบนเขาแห่งนี้แล้วกว่า 300 ราย บางร่างซ่อนอยู่ใต้หิมะ หรือบางร่างก็สูญหายไปตามรอยแยกลึก หรือแม้กระทั้งบางศพได้ถูกปลี่ยนให้กลายเป็นจุดสำคัญตามเส้นทางสู่ยอดเขา เช่น จุด Check point รองเท้าบูธสีเขียว หรือ เจ้าหญิงนิทรา

สำหรับนักปีนเขาที่จะไปพิชิตเอเวอเรสต์น่าจะทราบดีว่า จะขึ้นไปบนนั้น เราต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายไปมากแค่ไหน แต่สำหรับทีมกู้ภัย การเอาร่างไร้วิญญาณลงมา ก็ใช้เงินไม่น้อยเช่นเดียวกัน  เพราะศพ 1 ศพต้องมีคนช่วยกันนำลงสูงสุดถึง 8 คน รวมน้ำหนักศพและอุปกรณ์แล้วก็เท่ากับแบกคนละมากกว่า 100 กิโลกรัม ด้วยจำนวนศพที่มากขนาดนี้และพื้นที่ที่สูงขนาดนี้ เอเวอเรสต์จึงถูกนิยามในอีกชื่อหนึ่งว่า เอเวอเรสต์ สุสานที่สูงที่สุดนั่นเอง