SHORT CUT
"บ้านใหญ่" จากผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น สู่ผู้กำหนดทิศทางการเมืองระดับชาติ การเมืองท้องถิ่นที่ขับเคลื่อนองคาพยพของสังคม
คำว่า “บ้านใหญ่” เป็นคำที่สังคมไทยได้ยินบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงเลือกตั้ง ซึ่งมักถูกจับตามองว่าจะเข้าไปจับกับขั้วการเมืองใด หรือเป็นตัวแปรให้พรรคใดได้รับชัยชนะในพื้นที่ หากกล่าวอย่างคร่าวๆ “บ้านใหญ่” หมายถึงครอบครัวนักการเมืองที่มีอิทธิพลอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ มีทั้งที่ลงการเมืองในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ และอยู่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ครอบครัวนักการเมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่มักมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับคนในชุมชนอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ทำให้ครองใจประชาชนได้อย่างยาวนาน
รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ให้ความเห็นว่า การพิจารณาว่าใครเป็น “บ้านใหญ่” ไม่ได้ดูเพียงนามสกุลหรือสายโลหิต แต่ต้องดูที่การสร้างฐานทางการเมืองและการทำงานแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” การถ่ายโอนอำนาจผ่านการสืบทอดทางสายโลหิต และการสวามิภักดิ์ต่ออำนาจนิยมที่อยู่เหนือกว่าตนเอง
ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า “บ้านใหญ่” คือตระกูลการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน เนื่องจากรัฐไม่มีศักยภาพในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า “บ้านใหญ่” เป็นคำที่เพิ่งถูกนำมาใช้เรียกอย่างแพร่หลายทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้จะใช้คำว่า “เจ้าพ่อ” และ “ผู้ทรงอิทธิพล” มากกว่า และคำว่า "บ้านใหญ่" เริ่มเป็นที่รู้จักจากตระกูลคุณปลื้มในจังหวัดชลบุรี
โดย ศ.ดร.สิริพรรณ อธิบายว่า ในอดีตผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือคหบดี ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน เพราะรัฐส่วนกลางไม่สามารถดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง เมื่อมีการเลือกตั้ง ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ก็กลายมาเป็นนักการเมืองหรือหัวคะแนน
ดร.พอล แชมเบอร์ส อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร กล่าวว่า “บ้านใหญ่” พัฒนามาจากกลุ่มอิทธิพลระดับพื้นที่ในช่วงทศวรรษ 2500 และเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติในช่วงทศวรรษ 2510 โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
ขณะที่ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า “บ้านใหญ่” มีการปรับตัวไปตามยุคสมัย มีเกิดและดับ แต่ไม่น่าจะหายไปง่ายๆ
ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้บ้านใหญ่ลดความสำคัญลง แต่การรัฐประหาร 2549 และ 2557 ทำให้เครือข่ายบ้านใหญ่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง
การสร้างฐานทางการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” โดยบ้านใหญ่ใช้เงินและอิทธิพลของตนเองเข้าไปดูแลประชาชนในพื้นที่ เช่น ทำบุญ บริจาค แจกสิ่งของ จัดบริการสาธารณะเอง โดยไม่ผ่านรัฐ หรือใช้อิทธิพลทำให้คนที่อยู่ในเครือข่ายตนได้เปรียบ
การถ่ายโอนอำนาจผ่านการสืบทอดทางสายโลหิต เห็นได้จากการคัดเลือกคนไปดำรงตำแหน่งไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ แต่คิดจากสายโลหิตเหมือนธุรกิจครอบครัว
การสวามิภักดิ์ต่ออำนาจนิยมที่อยู่เหนือกว่าตนเอง โดยบ้านใหญ่ต้องการสร้างอิทธิพลในอาณาเขตของตนเอง แต่จะไม่ท้าทายอำนาจที่อยู่เหนือกว่า พวกเขาจะสวามิภักดิ์ต่อ “ลูกพี่” ที่มีอำนาจในระดับที่สูงกว่า
เครือข่ายอุปถัมภ์: “บ้านใหญ่” สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์กับคนในชุมชน โดยให้ความช่วยเหลือและดูแลผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเมือง
หัวคะแนน เป็นกลไกสำคัญในการรักษาอำนาจของบ้านใหญ่ โดยทำหน้าที่หาเสียงและตรวจสอบผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง
ตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน เห็นได้จาก “บ้านใหญ่” ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานประโยชน์ระหว่างรัฐส่วนกลางกับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง
ผู้มีอิทธิพลในการเลือกตั้ง เพราะ “บ้านใหญ่” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้ง และเป็นตัวแปรสำคัญในการดึงคะแนนเสียง
ผู้มีอำนาจต่อรองกับพรรคการเมือง พรรคการเมืองต่างๆ ต้องการดึง “บ้านใหญ่” เข้ามาเป็นพันธมิตร เพราะถือเป็นตัวแปรสำคัญในการดึงคะแนนเสียง “บ้านใหญ่” จึงมีอำนาจต่อรองกับพรรคการเมืองสูง
ผู้มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาล “บ้านใหญ่” สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้ และมีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาล
การเมืองแบบอุปถัมภ์: “บ้านใหญ่” เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองแบบอุปถัมภ์ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นความด้อยพัฒนาในระบอบประชาธิปไตย
ความล้มเหลวของรัฐ: การมีอยู่ของ “บ้านใหญ่” สะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐในการดูแลประชาชน และทำให้เกิดช่องว่างให้ “บ้านใหญ่” เข้ามามีบทบาท
การเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม: “บ้านใหญ่” อาจใช้อิทธิพลและทรัพยากรของตนเองในการเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม
การสืบทอดอำนาจ: การสืบทอดอำนาจทางการเมืองใน “บ้านใหญ่” ผ่านสายโลหิต อาจขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาคและโอกาสที่เท่าเทียม
การเมืองเชิงนโยบายมีแนวโน้มที่จะทำให้บทบาทของบ้านใหญ่ลดลง แต่การรัฐประหารทำให้การเมืองแบบบ้านใหญ่กลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง
การที่ “บ้านใหญ่” จะปรับตัวและหันมาทำการเมืองเชิงนโยบายได้ จำเป็นต้องมีระบอบประชาธิปไตยที่มีความต่อเนื่อง
จังหวัดชลบุรี: “กำนันเป๊าะ” หรือสมชาย คุณปลื้ม เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “บ้านใหญ่” ที่มีอิทธิพลอย่างมากในภาคตะวันออก หลังการเสียชีวิตของกำนันเป๊าะ อำนาจในชลบุรีแตกออกเป็นสามขั้ว
จังหวัดสุพรรณบุรี: ตระกูลศิลปอาชา เป็นตัวอย่างของตระกูลนักการเมืองที่มีอิทธิพลในจังหวัดสุพรรณบุรีและยังได้รับความไว้วางใจในการเลือกตั้ง สส. ยกจังหวัดเสมอมา
จังหวัดสมุทรปราการ: ตระกูลอัศวเหม เป็นอีกตระกูลนักการเมืองที่มีอิทธิพลในจังหวัดสมุทรปราการ
จังหวัดบุรีรัมย์: ตระกูลชิดชอบ เป็นที่รู้จักจากบทบาทของ "เพื่อนเนวิน" ที่มีอิทธิพลทางการเมือง
ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน: การแข่งขันระหว่างกระแสการเมืองกับ “บ้านใหญ่” ในพื้นที่เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “บ้านใหญ่” ไม่ได้มีอิทธิพลในทุกพื้นที่
รศ.ดร.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ เป็นอาจารย์ประจำที่ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ระบบอุปถัมภ์เปลี่ยนไปตามระบอบการเมือง ในระบอบที่ระบบราชการเป็นใหญ่ จะเน้นบารมีตัวบุคคล แต่ในระบอบประชาธิปไตย จะเน้นนโยบายนำ การเลือกตั้งเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้รับการอุปถัมภ์ และทำให้เกิดการเชื่อมโยงอำนาจส่วนกลางกับชุมชน
รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ลดบทบาท “บ้านใหญ่” แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ “บ้านใหญ่” กลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง จะช่วยลดอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” ได้
ขณะที่ ชัยพงษ์ สำเนียง มองว่าประชาชนในชนบทยังคงต้องพึ่งพาตัวกลางระหว่างพวกเขากับรัฐ และการเลือกตั้งที่มีบัตรสองใบจะช่วยสะท้อนเสียงของประชาชนได้ดีขึ้น พรรคการเมืองควรทำงานในเชิงพื้นที่ด้วย
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ มองว่า "บ้านใหญ่" ยังคงเป็นตัวแสดงสำคัญทางการเมือง และมีพลวัตที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ การเมืองไทยไม่ได้มีทิศทางเดียว แต่มีหลายโมเดลที่ต่างกัน
ศ.ดร.สิริพรรณ เห็นว่าควรมีการกระจายอำนาจและงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อลดบทบาทของ “บ้านใหญ่” ในการเป็นตัวกลาง
รวมไปถึงเห็นว่าควรส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้น และสามารถตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองได้
ขณะที่ รศ.ดร.ประจักษ์ เห็นว่าควรมีการออกแบบระบบเลือกตั้งที่ทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง มีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้
รศ.ดร.เวียงรัฐ และ ดร.พอล เห็นว่าควรมีการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และทำให้การเมืองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น
ขณะที่ รศ.ดร.ปิยบุตร เห็นว่าควรส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของรัฐและนักการเมือง และเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
“บ้านใหญ่” เป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนและมีพลวัตทางการเมืองที่ยาวนาน การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ จำเป็นต้องพิจารณาจากหลายมุมมอง ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ “บ้านใหญ่” ไม่สามารถทำได้ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง