SHORT CUT
สงครามกลางเมืองในเมียนมาส่งผลต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากปัญหาเรื่องผู้อพยพ, ยาเสพติด, มนุษยธรรม รายงานฉบับล่าสุดจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ‘ฟอร์ตี้ฟายไรต์’ กำลังสะท้อนถึงปัญหาที่แยบยลกว่านั้นที่แฝงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทย
ฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้เผยแพร่รายงานสืบหาความจริง ‘ความตายที่พรมแดน ไทย — เมียนมา’ หลังอ่องโกโก ชายวัย 37 ปี สัญชาติเมียนมาถูกทหารไทย 3 นายซ้อมทรมานจนเสียชีวิต บริเวณพื้นที่พิพาท 70 ไร่ บ้านใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก แต่กระบวนการยุติธรรมกลับยังไม่สามารถดำเนินคดีกับทหารคนใดได้ และจับกุมตัวชายชาวเมียนมาได้เพียงรายเดียว
เกิดอะไรขึ้นในคดีนี้บ้าง กระบวนการยุติธรรมของไทยดำเนินไปอย่างไร และอะไรคือข้อเสนอของฟอร์ตี้ฟายไรต์ SPRiNG สรุปรายงานฉบับดังกล่าวมาให้อ่านด้านล่างนี้
ไทม์ไลน์เหตุการณ์การเสียชีวิตของ ‘อ่องโกโก’
เวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2567 ศิรชัชหรือแจมิน สมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน (ชรบ.) ได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถามว่า รู้จัก อ่องโกโก ชายสัญชาติเมียนมา อายุ 37 ปีไหม ช่วยเข้าไปตรวจดูสถานการณ์หน่อย เพราะเขาถูกทหารไทยควบคุมตัวอยู่บริเวณพื้นที่พิพาท 70 ไร่ ไทย – เมียนมา
เวลาประมาณ 12.00 น. ศิรชัชเดินทางมาถึงจุดที่แจ้งเหตุ ใกล้เคียงกับ ม.ล. และ ย.จ. (นามสมมติ) ชรบ.ของบ้านใต้ จากคำบอกเล่าของ ม.ล. เมื่อมาถึงทหารสี่นายในชุดลายพรางเต็มยศกำลังยืนอยู่ด้านหลังของอ่องโกโกที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น มือสองข้างถูกผูกไว้ข้างหลัง และมีบาดแผลที่ใบหน้า
ม.ล.เล่าว่าทหารนายหนึ่งถามอ่องโกโกว่า “มึงใส่เสื้อกั๊ก ชรบ.มาทำไม? มึงขายยาเสพติดหรืออะไรหรือเปล่า? ทำไมถึงใส่เสื้อแบบนี้? ไม่ใช่ธงชาติมึง มันเป็นของประเทศกู” ระหว่างนั้น ย.จ.พยายามยืนยันกับกลุ่มทหารว่าอ่องโกโกเคยเป็น ชรบ.ในชุดของเขาจริงๆ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เดินทางกลับไปทำงานที่เมียนมาราว 1 เดือน
“มึงใส่เสื้อกั๊ก ชรบ.มาทำไม? มึงขายยาเสพติดหรืออะไรหรือเปล่า? ทำไมถึงใส่เสื้อแบบนี้? ไม่ใช่ธงชาติมึง มันเป็นของประเทศกู”
สำหรับ ชรบ.เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านที่ขึ้นตรงกับผู้ใหญ่บ้าน ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย แม้จะมีข้อกำหนดให้ ชรบ.เหล่านี้ต้องเป็นคนสัญชาติไทย แต่เป็นปกติในพื้นที่แม่สอดที่จะมี ชรบ.สัญชาติเมียนมาทำหน้าที่ดังกล่าว เนื่องจากปัญหาเชิงพื้นที่และขาดแคลนบุคลากร
ทหารทั้งสี่นายไม่ฟังคำยืนยัน พวกเขาพาตัวอ่องโกโกไปที่ป้อมทหารเก่าที่ตั้งห่างออกไปราว 500 เมตร และอีกราว 20 นาทีหลังจากนั้น ยจ.ก็ได้ยินเสียงของอ่องโกโกตะโกนว่า
“ช่วยด้วย! ผมไม่ได้ทำอะไรผิด! ผมไม่ได้ทำความผิด! ช่วยผมด้วย!”
จากคำบอกเล่าของพยานทั้ง 3 คนในเหตุการณ์ ทหารสามจากสี่นายได้เตะและใช้ไม้ฟาดอ่องโกโกนานราว 30 นาที ซึ่งศรีชัชเองก็เข้าผสมโรง เขายอมรับว่าตัวเขาใช้ไม้ไผ่ฟาดอ่องโกโกที่ก้นและหน้าแข้ง 2 ครั้ง ก่อนที่กลุ่มทหารจะบอกให้ ม.ล.พาอ่องโกโกไปที่ชายแดนเมียนมา
ยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าทหารกลุ่มดังกล่าวสังกัดหน่วยงานใด แต่หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ใต้กองกำลังนเรศวรเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดน จ.ตาก และมีทหารประจำอยู่ในพื้นที่บริเวณที่อ่องโกโกถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิต
ม.ล.ได้ขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวชาวเมียนมาในละแวกนั้น ทั้งสองช่วยกันหิ้วปีกอ่องโกโก แต่เดินไปได้เพียง 5 - 6 ก้าว อ่องโกโกก็ทรุดลง เพราะร่างกายไม่สามารถเดินต่อไปได้แล้ว ทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกย้ายไปขอความช่วยเหลือและแจ้งเรื่องอ่องโกโกต่อญาติของเขา
ระหว่างที่ทั้งคู่แยกย้ายไปขอความช่วยเหลือ พยานหลายคนได้เดินทางผ่านมาในที่เกิดเหตุ แต่ทั้งหมดล้วนเล่าตรงกันว่า อ่องโกโกมีแผลตามเนื้อตัวเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นเล่าว่า
“ฉันจำไม่ได้ว่าเห็นบาดแผลบนใบหน้าเขา เพราะมันทั้งเปื้อนเลือดและดินเต็มไปหมด โดยเฉพาะระหว่างดวงตาและจมูก ฟันก็หัก เห็นเลือดแห้งกรังอยู่บนเหงือก”
ยังไม่มีการยืนยันเวลาเสียชีวิตที่แน่นอนของอ่องโกโก แต่จากคำบอกเล่าของศิรชัช ในช่วงเวา 14.00 - 15.00 น. หน่วยกู้ภัยได้เข้าไปเก็บศพของอ่องโกโก และขณะที่ใช้มือสัมผัสศพร่างกายของอ่องโกโกยังอุ่นอยู่ จึงคาดว่าเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน
ครอบครัวของอ่องโกโกได้นำร่างของเขาไปไว้ที่วัดไทยวัฒนารามและกำหนดวันฌาปนกิจเป็นวันที่ 14 ม.ค. พ.ศ. 2567 แต่ก่อนจะถึงวันนั้น นักสิทธิมนุษยชนได้เดินทางไปที่งานศพ และแนะนำให้ครอบครัวแจ้งตำรวจ ส่งร่างไปโรงพยาบาบเพื่อชันสูตรพลิกศพ ซึ่งครอบครัวอ่องโกโกตัดสินใจทำตาม
จากรายงานชันสูตรพลิกศพของโรงพยาบาลแม่สอดพบว่า ร่างกายของอ่องโกโกมีอาการบาดเจ็บทั่วร่างกาย อาทิ บาดแผลถูกครูดที่ใบหน้าและจมูกรวม 6 บาดแผล, บาดแผลฟกช้ำที่ด้านหลัง ลำตัว ต้นขาซ้าย, บาดเจ็บภายในศีรษะ พบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง ด้านซ้อย และสมองบวม
ทางโรงพยาบาลแม่สอดสรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจาก “ศีรษะบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายร่างกาย”
จับ ‘แพะ’ อีกครั้ง? กระบวนการยุติธรรมที่อาจไม่โปร่งใส
จนถึงขณะนี้ ศาลได้มีคำสั่งพิพากษาจำคุกศรีชัช 3 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และยังไม่มีการจับกุมผู้ก่อเหตุรายอื่น
จากรายงานของฟอร์ตี้ฟายไรต์มี 3 ประเด็นในการสืบสวนหาความจริงที่อาจไม่โปร่งใส และอาจนำไปสู่การจับ ‘แพะ’ มากกว่าผู้ก่อเหตุที่แท้จริง
ในวันที่ 13 ม.ค. พ.ศ. 2567 นักสิทธิมนุษยชนและเพื่อนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ได้ถูกทหารสอบปากคำที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ทหารรายนั้นกล่าวอย่างโกรธแค้นว่าข้อมูลของนักสิทธิมนุษยชนไม่เป็นความจริง อ่องโกโกถูกซ้อมตั้งแต่อยู่ในประเทศเมียนมา และทหารไทยเป็นผู้ช่วยเหลืออ่องโกโกระหว่างบาดเจ็บต่างหาก
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจแม่สอดได้เรียกให้ศศิชัชมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจ 3 ครั้ง โดยตำรวจระบุว่า “มีคนแจ้งว่าคุณเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าคนตาย” ศศิชัชยอมรับกับตำรวจเรื่องที่เขาใช้ไม้ไผ่ตีก้นและหน้าแข้งของอ่องโกโก กระทั่งวันที่ 6 ก.พ. พ.ศ. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวศศิชัชในข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และไม่ให้ประกันเนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี
ข้อสังเกตประการแรกที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างสอบสวนศศิชัชเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งสิทธิที่ผู้ต้องหาควรจะได้รับ เช่น สิทธิในการมีทนายความ หรือสิทธิในการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ เพื่อได้รับการปล่อยตัวระหว่างสู้คดี
ข้อสังเกตประการที่สองคือ ปัญหาด้านการสื่อสาร ม.ล.ได้เล่าให้ฟังว่าระหว่างที่เขาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจได้ให้เขาเซ็นเอกสารอะไรบางอย่าง ซึ่งต่อมาจะนำไปสู่การสอบสวนคดีศศิชัช โดย ม.ล.เล่าว่าตัวเขาสื่อสารภาษาไทยได้ แต่ไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองเซ็นเอกสารอะไรอยู่
หรือกรณีที่อัยการอ้างหลักฐานรูปภาพที่ญาติของอ่องโกโกชี้ตัวศศิชัชว่าเป็นผู้กระทำผิด เพราะในเหตุการณ์วันนั้น ตำรวจได้เดินทางมาหาญาติของอ่องโกโกก่อนให้ดูภาพที่มีศศิชัช แล้วถามว่าเขาใช่คนที่ช่วยนำศพอ่องโกโกมาให้ใช่ไหม ก่อนขอให้ช่วยชี้นิ้วที่ภาพของศศิชัชแล้วถ่ายภาพ โดยที่ไม่มีการแปลข้อความอื่นๆ ในเอกสารดังกล่าวให้ฟัง
ข้อสังเกตประการที่สาม ทหารผู้ก่อเหตุหายไปไหน พนักงานสอบสวนและอัยการตระหนักว่ามีทหารอยู่ในที่เกิดเหตุวันที่อ่องโกโกเสียชีวิต และมีการซักถามถึงกรณีดังกล่าวในชั้นศาล แต่ยังไม่มีการนำตัวทหารคนใดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ถึงแม้ระหว่างกระบวนการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเคยให้พาทหารมาให้ ม.ล.ชี้ตัวผู้ต้องสงสัยถึงสองครั้ง แต่เขาไม่ได้ชี้ตัวใครทั้งสิ้น เพราะคนที่ตำรวจพามาไม่ใช่ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ที่อ่องโกโกเสียชีวิต
วันที่ 27 ก.ย. พ.ศ. 2567 ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกศศิชัช 3 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา โดยเขายังคงอยู่ในเรือนจนถึงปัจจุบัน
ข้อเสนอถึงภาครัฐไทย
จากรายงานของฟอร์ตี้ฟายไรต์ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ทำงานมาอย่างยาวนาน พวกเขามีข้อเสนอต่อภาครัฐไทยในกรณีดังกล่าว ดังนี้
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและทำให้บุคคลสูญหายระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์ ข้อมูลหรือคำสารภาพ, ลงโทษผู้ถูกซ้อมทรมาน, ข่มขู่หรือขู่เข็ญผู้ถูกทรมาน หรือเพื่อเลือกปฏิบัติ ถือว่ามีความผิดมีโทษจำคุกสูงสุด 15 - 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 300,000 - 1,000,000 บาท
พ.ร.บ.ดังกล่าวยังระบุโทษผู้ให้การสนับสนุน, ผู้สมคบคิด และผู้บังคับบัญชาที่ทราบการกระทำผิดดังกล่าวด้วย
ล่าสุด ทางฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้ยื่นหนังสือต่อถึง กมธ.ทหารให้ช่วยติดตามกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความคืบหน้าจากทาง กมธ.
อ่านรายงานฉบับเต็มจากฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้ที่: fortifyrights