ย้อนกลับไปวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ‘กองทัพเมียนมาหรือตัดมาดอว์ (Tatmadaw) นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพรรค NLD โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้ง และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ
นับจากวันนั้น เป็นเวลา 4 ปีแล้วที่เมียนมาตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง กองทัพใช้อาวุธสงครามในพื้นที่อยู่อาศัยของพลเมือง เกิดการปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนกับกลุ่มต่อต้าน เกิดวิกฤตสาธารณสุข และประชาชนอีกหลายล้านคนต้องเดินทางออกนอกประเทศ
แต่ภายใต้ความรุนแรงที่โลกภายนอกรับรู้เพียงผิวเผิน ใต้พรมนั้นเกิดอาชญากรรมนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ สแกมเมอร์, การค้ามนุษย์, การค้าสัตว์ป่า, การลักลอบตัดไม้, ยาเสพติด ทำให้องค์กร Global Organized Crime Index จัดให้เมียนมาเป็นประเทศอาชญากรรมอันดับ 1 ของโลก
SPRiNG ชวนไปดูฝุ่นและคราบสกปรกที่ซุกอยู่ใต้พรมตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ที่เปลี่ยนให้ประเทศที่ครั้งหนึ่งปิดตายตัวเองจนถูกเรียกว่าฤาษีแห่งเอเชีย กลายเป็นเมืองอาชญากรรมอันดับ 1 ของโลก
ความรุนแรงจากรัฐ – ที่ไทยมีส่วนเอี่ยว
จากรายงานของ AAPP องค์กรที่เก็บข้อมูลความรุนแรงในเมียนมาพบว่า กองทัพเมียนมาได้สังหารประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 9,100 ราย จับกุมนักโทษการเมืองมากกว่า 21,000 ราย และมีชาวเมียนมาต้องพลัดถิ่นมากกว่า 3 ล้านราย
ถึงแม้ ไทยจะยังคงทำงานด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งเปิดค่ายผู้อพยพ, ส่งสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงช่วยเหลือด้านสาธารณสุข แต่จากรายงานของ OHCHR ระบุว่าไทยมีส่วนในการสนุบสนุนรัฐบาลเมียนมาในทางอ้อม โดยเฉพาะการขายชิ้นอาวุธสงครามและอนุญาตให้ทำธุรกรรมผ่านธนาคารไทย
โดยในปี พ.ศ. 2566 ไทยกลายเป็นคู่ค้าหลักที่ขายสินค้า เช่น ชิ้นส่วนอาวุธสงคราม, เหล็ก, อะลูมิเนียมให้กับกองทัพเมียนมารวมจำนวน 4 พันล้านบาท รวมถึงธนาคารไทย 5 แห่งยังกลายเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกรรมทางการเงินของกองทัพเมียนมา
ในรายงานของ OHCHR ระบุว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทางการไทยเกี่ยวข้องหรือตระหนักในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม หากทางการไทยออกนโยบายคัดค้านการใช้ธนาคารไทยเป็นศูนย์กลางธุรกรรม อาจทำให้การสูญเสียในเมียนมาลดลงได้อย่างมาก
วิกฤตสิ่งแวดล้อม – การลักลอบตัดไม้สัก
สิ่งแวดล้อมมักเป็นประเด็นหลังๆ เสมอในวิกฤตมนุษยธรรม แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่สำคัญ
จากข้อมูลของ Global Forest Watch พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2565 เมียนมาเสียพื้นที่ป่าไม้ไปแล้ว 5,450,000 ไร่ เทียบได้กับปริมาณป่าไม้ 1 ใน 20 ของทั้งหมดที่ไทยมีอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะการค้าไม้สักที่เติบโตขึ้นในช่วงสงคราม
มีรายงานจากเอนจีโอที่ติดตามเรื่องสิ่งแวดล้อมว่า พบเห็นรถบรรทุกไม้สักเถื่อนจำนวนมาก ขนไม้สักไปทางตอนเหนือของรัฐฉาน อันเป็นศูนย์กลางค้าไม้เถื่อนสู่ มณฑลยูนนาน ในประเทศจีน โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจเหล่านี้มีทั้งกองทัพเมียนมา, กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์, นักธุรกิจท้องถิ่น รวมถึงนักธุรกิจจีน
ยังมีรายงานการขุดเหมืองอัญมณีเถื่อนโดยเฉพาะหยกในรัฐคะฉิ่น เพื่อส่งต่อไปยังจีน โดยในรายงานของ Warwick ระบุว่าระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2564 มีการส่งอัญมณีเถื่อนจากเมียนมาสู่จีนมูลค่ารวม 4.75 หมื่นล้านบาท โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจเหล่านี้คือกองทัพและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์
ถึงแม้จะเสี่ยงต่อสารเคมีและมีรายงานดินถล่มเกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง (มีผู้เสียชีวิต 20 ราย สูญหาย 50 ราย) แต่แรงงานในเมียนมาและจีนจำนวนมากยังคงเลือกเข้าไปทำงานในเหมืองเถื่อน เพราะได้รับค่าตอบแทนที่สูงระหว่าง 12,000 - 16,000 บาท/ เดือน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการเพิ่มขึ้นของการลักลอบค้าสัตว์ป่า เช่น ตัวนิ่มและชะมด ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์จำนวนมาก
ยาเสพติด – ขึ้นแท่นแหล่งผลิตฝิ่นอันดับ 1 ของโลก
ใครที่ติดตามข่าวยาเสพติดอยู่บ้าง คงทราบดีว่าเมียนมาเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดชนิดแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และเมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) อันดับ 1 ของโลกมาเป็นเวลานาน แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาบวกกับสงคราม ทำให้การส่งออกยาเสพติดเหล่านี้ยิ่งรุนแรงขึ้น
ข้อมูลจากรายงานของ UNODC พบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2564 - 2566 มีการจับยาเสพติดเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ในประเทศไทย, ลาว และเมียนมา ดังนี้
- ไทย – จับยาบ้าได้ 1,770 ล้านเม็ด และไอซ์ 58,000 กก.
- ลาว – จับยาบ้าได้ 381 ล้านเม็ด และไอซ์ 9,200 กก. ทั้งนี้ ลาวกลายมาเป็นเส้นทางลำเลียงหลักก่อนส่งเข้าไทย
- เมียนมา – จับยาบ้าได้ 620 ล้านเม็ด และไอซ์ 53,000 กก.
อนุมานได้ว่ามีการผลิตยาบ้าและไอซ์จำนวนมากกว่านี้มาก และมีอีกจำนวนมากที่หลุดออกไปตามประเทศต่างๆ
ตัวเลขยาเสพติดอีกประเภทที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงหลังรัฐประหารคือ การปลูกพืชฝิ่น โดยในรายงานการสำรวจพืชฝิ่นของ UNODC พบว่า เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2567) มีการปลูกฝิ่นในเมียนมารวม 45,200 เฮกตาร์ (282,500 ไร่) คิดเป็นปริมาณ 995 ตัน ขึ้นเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลก แซงหน้าอัฟกานิสถาน
หากจะถามว่าปริมาณฝิ่นดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน มากกว่าพื้นที่การทำเกษตรในหลายจังหวัดของไทย อาทิ สมุทรปราการ, สมุทรสงคราม, แม่ฮ่องสอน, กรุงเทพฯ, นนทบุรี หรือภูเก็ต
พื้นที่ที่ใช้เพาะปลูกฝิ่นส่วนใหญ่อยู่ในรัฐฉาน หรือพื้นที่ติดกับภาคเหนือของไทย ส่งผลให้ไทยมีปริมาณการจับฝิ่นระหว่าง พ.ศ. 2564 - 2566 อยู่ที่ 9,800 กก. และเฮโรอีน 18,100 กก. สัมพันธ์กับตัวเลขผู้เข้ารับการบำบัดเฮโรอีนที่เพิ่มทะยานขึ้นในไทย
ที่ซ้ำเติมกว่านั้น ชาวบ้านในเมียนมาให้เหตุผลที่กลับมาปลูกฝิ่นว่า จำเป็นต้องนำเงินมาใช้ซื้ออาหาร, ยารักษาโรค และเข้าถึงการศึกษาตามลำดับ
สแกมเมอร์และค้ามนุษย์
อีกหนี่งปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อไทยโดยตรงคือ ธุรกิจสแกมเมอร์ในเมียนมา ในรายงานของ USIP ระบุว่าธุรกิจชนิดนี้ในเมียนมามีรวมกันมากกว่า 100 แห่ง โดยอยู่บริเวณชายแดน จีน - เมียนมามากกว่า 90 แห่ง และชายแดน ไทย - เมียนมา (จ.เมียวดี) อย่างน้อย 30 แห่ง
จากการประเมินของ USIP มีผู้ถูกหลอกไปทำสแกมเมอร์ในเมียนมาราว 120,000 คน โดยแต่ละคนถูกคาดหวังให้หลอกเงินให้ได้ประมาณ 12,000 บาท/ วัน ดังนั้น จีงมีการประเมินว่าธุรกิจสแกมเมอร์ในเมียนมาสร้างความเสียหายราว 5.15 แสนล้านบาท/ ปี
ถ้าประเมินผลกระทบจากสแกมเมอร์ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด (ลาว, กัมพูชา, เมียนมา) คาดว่ามีผู้ถูกค้ามนุษย์อยู่อย่างน้อย 300,000 ราย สร้างความเสียหายราว 1.3 ล้านล้านบาท/ ปี และส่งผลกระทบต่อประชากรใน 115 ประเทศทั่วโลก
จากการเปิดเผยของเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ มีการทำร้ายร่างกายเหยื่อค้ามนุษย์สแกมเมอร์ในเมียนมา ทั้ง การทุบตี, กักขัง, ช็อตไฟฟ้า, ราดด้วยน้ำร้อน ตลอดจนฆาตกรรม
ถึงแม้ อาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นในเมียนมาเป็นหลัก แต่สแกมเมอร์และยาเสพติดเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแล้วว่า อาขญากรรมที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมส่งผลต่อไทยไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในเมียนมาวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องของเมียนมา แต่เป็นเรื่องของไทย และอาจพูดได้ว่าคนทั้งโลก
ภาพประกอบ: สุรัสวดี มณีวงศ์