svasdssvasds

เปิดประวัติ เคียร์ สตาร์เมอร์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จากพรรคแรงงาน

เปิดประวัติ เคียร์ สตาร์เมอร์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จากพรรคแรงงาน

การเลือกตั้งอังกฤษที่เกิดขึ้น พรรคแรงงาน (Labour) สามารถคว้าชัยชนะเหนือพรรคอนุรักษนิยม (Conservative) เพราะพรรคอนุรักษนิยมครองอำนาจมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรี เดวิด แคเมอรอน ถึง ริชี ซูแน็ก ครองอำนาจยาวนานกว่า 14 ปี

SHORT CUT

  • พรรคแรงงาน คว้าชัย ในรอบ 14 ปี ส่ง "สตาร์เมอร์" เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
  • ผู้ชนะกวาดที่นั่งในรัฐสภาไปแล้ว 410 ที่นั่ง พรรคอนุรักษนิยมได้ 119 ที่นั่ง จาก 650 ที่นั่ง 
  • ส่องโปรไฟล์ว่าที่นายกฯ และนโยบายขวาของพรรคฝ่ายซ้ายที่กีดกันผู้อพยพ

การเลือกตั้งอังกฤษที่เกิดขึ้น พรรคแรงงาน (Labour) สามารถคว้าชัยชนะเหนือพรรคอนุรักษนิยม (Conservative) เพราะพรรคอนุรักษนิยมครองอำนาจมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรี เดวิด แคเมอรอน ถึง ริชี ซูแน็ก ครองอำนาจยาวนานกว่า 14 ปี

เพราะการเมืองภายในพรรคอนุรักษนิยมเป็นเหตุสังเกตได้ ทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรค เกิดการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษนิยมหลายคนในเวลาไม่กี่ปี

ประกอบกับพรรคอนุรักษนิยมไม่สามารถดำเนินนโยบายตอบสนองด้านเศรษฐกิจ สวัสดิการ รวมถึงแก้ปัญหาสังคมให้กับประชาชนได้ หลายๆ คนจึงวิเคราะห์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคอนุรักษนิยมต้องพ่ายแพ้แก่พรรคแรงงานแน่นอน

พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการส่งหัวหน้าพรรคขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้หลังจากที่พรรคแรงงานห่างหายจากการบริหารประเทศมาเป็นเวลา 10 กว่าปีโดยนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคแรงงานคนสุดท้ายคือ กอร์ดอน บราวน์

ในครั้งนี้ส่ง เคียร์ สตาร์เมอร์ ขึ้นสู่นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับเขากันดีกว่าว่ามีประวัติน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน

 

เคียร์ สตาร์เมอร์ คือใคร?

ชื่อเต็มๆ ของเขาคือ เซอร์ เคียร์ รอดนีย์ สตาร์เมอร์ เป็นนักการเมืองสหราชอาณาจักรและอดีตทนายความซึ่งในปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานและผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภาตั้งแต่ ค.ศ. 2020 เขาเป็นสมาชิกรัฐสภาจากเขตฮอลบอร์นและเซนต์แพนคราสตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 โดยเขามีแนวคิดสังคมนิยมและถูกจัดอยู่ในกลุ่มฝ่ายซ้ายอ่อนๆ ในพรรคแรงงาน

สตาร์เมอร์เกิดที่กรุงลอนดอน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของรัฐที่โรงเรียนรีเกตแกรมมาสคูลซึ่งต่อมาในระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชนแทน เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลีดส์เมื่อปี ค.ศ. 1985 ต่อมาได้จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ที่เซนต์ เอ็ดมันด์ ฮอลล์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ในปีค.ศ. 1986

ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาทางเนติบัณฑิตแล้ว สตาร์เมอร์ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความเฉพาะทางด้านจำเลยคดีอาญาซึ่งเน้นคดีความด้านสิทธิมนุษยชน โดยได้เข้าเป็นสมาชิกประจำสำนักงานเนติบัณฑิตโดท์ตีสตรีทก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น"ที่ปรึกษากฎหมายในพระราชินีฯ" (Queen's Counsel ย่อ "QC") ในปี ค.ศ. 2002 ในปีค.ศ. 2008 สตาร์เมอร์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักอัยการ (DPP) จนถึงปีค.ศ. 2013 โดยภายหลังจากเสร็จสิ้นวาระการทำงานในสำนักอัยการแล้วเขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์บาร์ธชั้นอัศวิน (Knight Commander หรือ "KCB") ในปีค.ศ. 2014

เรียกได้ว่าเป็นคนพรรคแรงงานที่ทำงานใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษเลยทีเดียว

สตาร์เมอร์ชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสามัญชนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 โดยในเหตุการณ์เบร็กซิต เขาได้เสนอให้มีการทำประชามติครั้งที่สองในเรื่องนี้โดยเขาได้ลงความเห็นว่าจะตัดสินใจเลือกลงคะแนนเพื่อที่จะคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป แน่นอนว่ามีนโยบายตรงข้ามกับพรรคอนุรักษนิยมในเรื่องนี

นโยบายพรรคแรงงาน

แต่ถ้าลองดูรายละเอียดนโยบายที่พรรคแรงงานใช้หาเสียงในรอบนี้ จะพบจะเน้นไปในเรื่องเศรษฐกิจเพราะเล็งเห็นว่าเป็นนโยบายที่โดนใจในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุดในปัจจุบัน ต่างจากการเลือกตั้งปี 2019 ที่เป็นเรื่องของ Brexit อย่างสิ้นเชิง

เราสามารถดูนโยบายของพรรคแรงงานทั้งหมด 8 ข้อ ที่เพจ The 1o1 World รวบรวมมาให้จะสามารถวิเคราะห์แนวทางการบริหารประเทศของพรรคแรงงานได้ ซึ่งแบ่งออกเป็นเรื่องพื้นฐาน (Foundations) 3 ข้อ และเชิงประเด็น (Mission-Based) อีก 5 ข้อ

นโยบายพื้นฐาน 3 ข้อ ประกอบด้วย

  • ความมั่นคง (National Security) ยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้าง NATO ต่อไปในยุคที่สงครามยูเครน-รัสเซียยังไม่จบลง และยืนยันว่ายังจัดสรรงบประมาณ 2.5% ต่อ GDP สำหรับการป้องกันประเทศ

นั่นย่อมหมายความว่าพรรคแรงงานมีแนวโน้มสนับสนุนยูเครนในการต่อต้านรัสเซียต่อไป

  • ผู้อพยพและพรมแดน (Secure Borders) ปัญหาผู้อพยพเป็นปัญหาใหญ่ของสหราชอาณาจักรและยุโรปในช่วงหลัง พรรคแรงงานโจมตีนโยบายของพรรคอนุรักษนิยมที่ส่งผู้อพยพไปยังรวันดา (โดยจ่ายเงินให้รวันดา) เป็นนโยบายที่ผิดพลาดและสิ้นเปลือง สิ่งที่ต้องทำคือแก้ปัญหาการลอบขนคนข้ามช่องแคบอังกฤษแบบผิดกฎหมาย จึงเสนอตั้งศูนย์บัญชาการชายแดน Border Security Command ที่มีอำนาจแบบหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้าย มาทำหน้าที่ตรงนี้แทน

นั่นย่อมหมายความว่าพรรคแรงงานมองเห็นปัญหาผู้อพยพเช่นเดียวกับชาติยุโรปอื่นๆ โดยมุ่งจำกัดจำนวนผู้อพยพเข้ามาในประเทศ

  • เศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ (Economic Stability) ตีเข้าไปที่ใจกลางของปัญหารัฐบาลอนุรักษนิยมว่าบริหารเศรษฐกิจไม่ได้ แนวทางของพรรคแรงงานจะพยายามปรับงบประมาณที่ขาดดุลให้กลับมาสมดุล และลดหนี้สาธารณะลงให้ได้ภายใน 5 ปีตลอดอายุของสภาสมัยหน้า

ซึ่งในเรื่องนี้ต้องดูกันต่อไป เพราะความเป็นจริงแล้วปัญหาเศรษฐกิจมีผลจากปัจจัยอื่นๆ ทั่วโลก ต้องดูกันว่าพรรคแรงงานจะหาส่วนไหนมาเติมเรื่องงบประมาณที่ขาดดุล

นโยบายเชิงประเด็น 5 ข้อ ประกอบด้วย

  • การสร้างเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโต
  • นโยบายพลังงานสะอาด
  • อาชญากรรมและความปลอดภัย
  • โอกาสทางการศึกษา
  • แก้ปัญหาสาธารณสุขของ NHS

นโยบายสองข้อแรกเป็นเรื่องเศรษฐกิจและพลังงาน ในขณะที่สามข้อหลังเป็นเรื่องทางสังคม สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าพรรคแรงงานชูเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องหลัก ผิดจากในอดีตที่มักชูนโยบายด้านสวัสดิการเป็นเรื่องหลักก่อน และมีแนวโน้มที่จะนำนโยบายรัฐเป็นผู้นำการพัฒนาเศรษฐกิจอีกด้วย

การเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษครั้งนี้คือพรรคแรงงานมาครองเสียงข้างมากในรัฐสภาของอังกฤษ ส่งผลให้เคียร์ สตาร์เมอร์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เราจะได้เห็นการทำงานของพรรคแรงงานอังกฤษอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายจากการบริหารประเทศเกือบ 14 ปี