SHORT CUT
‘9 แคมป์’ พักพิงผู้ลี้ภัยชั่วคราวในไทย รองรับผู้อพยพจากเมียนมาเป็นเวลานานหลาย 10 ปี อยู่จนเป็นพื้นที่พักพิงถาวร
ปัจจุบัน ทางการไทยได้มีการจัดตั้งศูนย์รองรับผู้อพยพหนีสงคราม จากฝั่งเมียนมามากถึง 9 แห่ง ซึ่งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ,ตาก ,กาญจนบุรี โดยมีผู้อพยพลี้ภัยรวมกันเกือบ 1 แสนคน
ผู้อพยพลี้ภัย ในค่ายชายแดนไทย-เมียนมา 9 แห่ง ส่วนมากเป็นชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงและกะเหรี่ยงแดง (คะเรนนี) นอกจากนี้ยังมีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยในเขตเมืองประมาณ 5,000 คนจาก 40 ประเทศทั่วโลก
โดยในจำนวนทั้งหมด 91,337 ที่อยู่ในค่ายชายแดนไทยเมียนมา มีแค่ 43,865 คนเท่านั้น ที่เป็น Registered population หรือผู้ลี้ภัยที่จดทะเบียนกับ “สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ” ส่วนอีก 47,427 คน ยังเป็น Unregistered population หรือผู้ลี้ภัยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนกับ UNHCR ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง ไม่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอที่ลี้ภัยเอง หรือไม่ก็อยู่ระหว่างรอกระบวนการที่มีระยะเวลานาน แต่ไม่ว่าจะจดทะเบียนหรือไม่ พวกเขาก็เป็นยังคงฐานะเป็นผู้ลี้ภัย ที่ควรมีสิทธิของมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
แต่ปัจจุบัน สภาพความเป็นอยู่ในค่ายลี้ภัยต่างๆ ค่อนข้างลำบาก ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก และไม่บริการด้านสุขอนามัยที่เพียงพอ เนื่องจากงบประมาณที่เคยได้รับจาก ยูเอ็น หรือ องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ลดลงต่อเนื่อง และเมื่อไร้การเหลียวแล ในศูนย์พักพิงจึงกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ อาวุธเถื่อน ไปจนถึงยาเสพติด
ยิ่งไปกว่านั้น ทางการไทยยังมีการส่งผู้ลี้ภัยกลับไปยังฝั่งเมียมาเป็นพักๆ ซึ่งเป็นการละเมิดต่อหลักการตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งห้ามการส่งกลับ หรือการบังคับให้บุคคลกลับไปยังสถานที่ใด ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่า จะต้องเผชิญกับการประหัตประหาร การทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย หรือภัยคุกคามต่อชีวิต
ปัญหาอยู่ที่ ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาคีหรืออนุสัญญาว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัยใดๆ ทั้งยังไม่มีกฎหมายที่จะให้การคุ้มครองให้แก่กลุ่มคนดังกล่าว ดังนั้นสถานะของผู้ลี้ภัยที่ข้ามชายแดนมา ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ให้ถือว่าเป็น “คนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย” และไทยไม่มีนโยบายจัดการอย่างชัดเจน นอกจากส่งกลับ หรือกักตัวไม่มีกำหนด ซึ่งหลายคนเผชิญกับอย่างหลัง คืออยู่ในค่ายลี้ภัยหลายสิบปีแบบไม่มีตัวตน ไม่มีงานถูกกฎหมายให้ทำ และอาจเสียชีวิตอยู่ในค่ายแบบไม่มีใครทราบ
ในเมื่อ ส่งชุดเก่ากลับไปเป็นพัก ๆ แต่ชุดใหม่ยังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แถมมากกว่าขาส่งกลับเสียอีก จึงทำให้ศูนย์พักพิงชั่วคราวอยู่แบบเสื่อมโทรมมานาน จนแทบจะกลายเป็น ศูนย์พักพิงถาวรไปแล้ว
ส่วนเหตุผลที่ไทยไม่เข้าร่วมเป็น อนุสัญญาว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัยนั้น อาจเป็นเพราะบางมาตรา กำหนดให้เป็นภาระของรัฐบาลเจ้าบ้าน ซึ่งอาจกระทบกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเมืองของรัฐบาลไทยในหลายมิติ และนอกจากนั้นยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า แคมป์ผู้อพยพ 9 แห่งตามชายแดน ยังเป็นแหล่งทำเงินของบางหน่วยงาน เช่นขายข้าว ขายน้ำ บัตรเติมเงินโทรศัพท์ เป็นต้น กล่าวคือหากินได้ยาวๆ เพราะผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ต้องอยู่ถาวร ไปไม่มีที่ปลอดภัยให้ไป
นี่เป็นเพียงภาพคร่าวๆ -ของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยในประเทศไทย เพราะปัญหานี้มีอีกหลายมุมที่ต้องถกเถียงกัน แต่เนื่องในโอกาส วันที่ 20 มิ.ย. ของทุกปี เป็นวันผู้ลี้ภัยโลก ที่ให้นานาชาติร่วมระลึกถึงความเข้มแข็ง และความกล้าหาญของผู้คนที่ถูกบังคับให้หนีเพื่อแสวงหาความปลอดภัยจากความขัดแย้งและการประหัตประหาร ดังนั้น เราทุกคนควรตระหนักถึงการมีตัวตนของพวกเขา และหยุดแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ก็ตามที่ผิดกฎหมายกับผู้พลัดถิ่นเหล่านั้น
แม้การแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืนที่สุดคือการยุติสงครามและความขัดแย้งที่ต่าง ๆ เพื่อลดการอพยพย้ายประเทศ แต่ในเมื่อสถานการณ์ต่างประเทศเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลเจ้าบ้านควรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทุกคน ให้ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับบุคคลทั่ว ๆ ไป โดยพวกเขาต้องสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงศาสนา สัญชาติ หรือเชื้อชาติของพวกเขา และที่สำคัญควรดำเนินการป้องกันและยุติไม่ให้มีการผลักดันส่งกลับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยและผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศ
ที่มา : Amnesty / กรุงเทพธุรกิจ / UNHCR / TDRI
ข่าวที่เกี่ยวข้อง