เช็กผลงาน 60 วัน เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ หลังแถลงผลงานในการเป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกฯ คนที่ 30 โชว์ 2 เดือนแรก เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-ส่งออก-เกษตร ยืนยันไม่ยุบ กอ.รมน.- บีโอไอ เดินหน้า กฎหมายสมรสเท่าเทียม เตรียมเสนอสภา
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี-รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษ ในรายการ ‘Chance of Possibility จากนโยบายสู่การลงมือทำจริง 60 วัน’ หลังจากแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เป็นผู้นำประเทศมา โดยในช่วง 60 วันที่ผ่านมา รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของเศรษฐาได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และแผนหลังจากนี้ ทางรัฐบาลเพื่อไทยวางไว้อย่างไร เช่น การทำงานในมาตรการเร่งด่วน
เศรษฐา ทวีสิน นายกฯคนที่ 30 ของไทยฯ กล่าวว่า เขาไม่ได้อยู่แค่ในกรุงเทพฯอย่างเดียว ไปมาแทบทุกภาค ในช่วง 60 วันที่ผ่านมา หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปแล้ว พูดถึงการลดรายจ่าย
โดยการลดรายจ่ายนี่ชัดเจน คือเรื่องของลดค่าไฟ จาก 4 บาทกลางๆ ซึ่งมีการลด 2 ขั้นตอน ประเด็นนี้เป็นการบ่งบอกถึงวิธีการทำงานของรัฐบาล อะไรทำได้รัฐบาลทำก่อน ถ้าทำได้อีก ก็จะทำให้อีก จะทำเพิ่มเติมต่อไป ไม่ต้องคอยให้เสร็จหมดแล้วค่อยทำ
เรื่องลดราคาค่าน้ำมันดีเซลรัฐบาลเพื่อไทยในยุคเศรษฐาก็ลด ก่อนหน้านี้ เบนซินยังศึกษาไม่ดีพอ เราก็ยังไม่ลดจนกระทั่งจะลดวันที่ 10 เดือนนี้ ซึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ได้ประกาศไปแล้ว อันนี้คือลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่ง คือลดรายจ่ายทางด้านดอกเบี้ย ก็มีการพักหนี้เกิดขึ้น ทางท่านรัฐมนตรี จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ก็เป็นหัวใหญ่ในประเด็นนี้ ที่ผ่านมาทำงานกับกระทรวงเกษตรกรฯ ในแง่ของการพักหนี้เกษตร ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเพิ่งเริ่มทำกันมา แต่เรื่องจะทำต่อไปก็คือเรื่องของการดูแลเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งอันนี้จะเป็นการลดปัญหาเรื่องหนี้สิน แต่อาจจะถือว่าเป็นระยะกลาง
เศรษฐา ทวีสิน ให้ความเห็นอีกว่า ในระยะกลางจะมีการลดหนี้นอกระบบ เขานั้นเพิ่งพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะหนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานาน มีผู้ทำผิดกฎหมายเรื่องการเพิ่มดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้ประชาชนต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่เงินต้นไม่เคยลดเลย
ขณะที่ Digital Wallet นายกฯจะแถลงเพื่อความชัดเจนในวันที่ 10 พ.ย.นี้ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักการ ที่มาที่ไปของเงิน ใครได้รับบ้าง ใช้ซื้อสินค้าอะไรได้บ้าง
คนไทยหลายสิบล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรม ถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน ต้องให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตร เรื่องของผลผลิตต่อไร่ของพืชผลหลาย ๆ ชนิด ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่เก่ง เพราะว่าเรื่องขององค์ความรู้ยังไม่มีการใส่เข้าไปให้มันเต็มที่ ตรงนี้เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องพยายามทำ
เรื่องของการใช้กลไกการตลาด ในการเปิดการตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหม่ๆ ที่มีการขยายตัวของประชากรสูงอย่างแอฟริกา กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น ต้องการการส่งออกของอาหารค่อนข้างมาก เราก็ไปเปิดตลาดใหม่ เป็นการขยายโอกาส ขยายรายได้ เพิ่ม Demand ดังนั้นราคาพืชผลก็น่าจะขยับขึ้นมาได้
การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายในการทำเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นใช้ปุ๋ยอินทรีย์มาแทนปุ๋ยเคมี การทดสอบสภาหน้าดิน ว่าสภาพดินเป็นอย่างไร เพื่อไม่ต้องหว่านปุ๋ยเข้าไปท้งหมด นี่คือภาคการเกษตร
ส่วนของภาคการท่องเที่ยว นับเป็นการเพิ่มรายได้อีกส่วนหนึ่ง รัฐบาลให้วีซาฟรีกับคนจีน ไต้หวัน อินเดีย และการยกเว้นการตรวจค้นเข้มเมืองภาคใต้ ทำให้ นักท่องเที่ยวมาเลเซียก็หลั่งไหลเข้ามาเต็มไป อย่างไรก็ตามเราต้องดูทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ยกเลิกวีซ่า แต่ต้องดูเรื่องการรองรับด้วย ไม่ใช่เข้าเข้ามาแล้วต้องรอเป็นชั่วโมง
คาซัคสถาน เป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาว เป็นพื้นที่มีรายได้สูง เราพบว่าที่ผ่านมา แถวพังงาคาซัคสถานกราฟกำลังขึ้นมาก แล้วเราก็ดูว่ามีสายการบินบินตรงด้วย ซึ่งเป็น การนำเข้าที่ดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดตัวนี้เขาอยากจะเข้ามาเที่ยวเยอะขึ้น แล้วเป็นพวก High Spender (กำลังซื้อสูง) ดังนั้นเราก็ประกาศเข้ามาอีกประเทศหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็คงจะดูต่อไปว่าสามารถทำตรงไหนได้อีก เช่น รัสเซียเข้ามาอยู่ได้ฟรี 30 วัน
ขณะที่เรื่องการคมนาคม เป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทยเช่นกัน เพราะการคมนาคมเชื่อมต่อไปทั่วประเทศ โดยเมื่อครั้งเดินทางไปประชุมที่จีน ได้มีการพูดคุยการเชื่อมโยง Logistic ทั้งภูมิภาค เช่น เรื่องรถไฟความเร็วสูงที่เรามีการก่อสร้างจากกรุงเทพฯไปนครราชสีมา นครราชสีมาไปขอนแก่นขอนแก่นไปหนองคาย ข้ามไปส.ป.ป. ลาว และเชื่อมไปยังจีน ที่จะช่วยขนส่งสินค้าเกษตรที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงไปขายยังต่างประเทศ
แต่ระหว่างที่ดำเนินการเรื่องรถไฟความเร็วสูงต้องมีทำรางคู่ก่อนและบางจุดต้องมียุทธศาสตร์สำคัญ เช่น สะพานข้ามจากหนองคายไปลาว เรื่องนี้มีการตกลงกันในช่วงที่เดินทางไป สปป.ลาว
นายกฯ ให้ความเห็นว่า อยากจะใช้คำว่าการไปประชุม UNGA ไป UN ก็ถือเป็นโอกาสดีเพราะเพิ่งรับตำแหน่งนายกฯ ถือโอกาสไปพบผู้นำจากทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันเรื่องของภูมิศาสตร์เองก็มีความร้อนแรง มีความเห็นต่างกันในแง่ของการค้า จีน-สหรัฐฯ ก็มีความขัดแย้งเรื่องการค้า ยูเครน-รัสเซีย UN ก็ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนมากขึ้น GDP ขึ้นจาก 76 มาเป็น 91 ซึ่งถือว่าเป็น Top 20 ของโลก ถือว่าสูงมาก ไทยต้องลดตรงนี้ลงไปให้ได้ ลดมี 2 อย่างคือ ลดหนี้ กับเพิ่มรายได้ เราทำทั้ง 2 ทาง เรื่องการลดหนี้จริง ๆ แล้ว ทางสถาบันการเงินของประเทศไทย ถูกกำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว ตรงนี้ให้ช่วยกันบริหารจัดการ ทำงานใกล้ชิดกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับทางธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย
ปัญหาใหญ่กว่านั้นก็คือหนี้นอกระบบที่อยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ทุกครั้งที่ออกไปหาเสียง เราจะได้รับร้องเรียนมาตลอดเวลาว่าใช้หนี้ไม่หมด ดอกเบี้ยก็ใช้ไม่หมด ดอกเบี้ยจริง ๆ แล้วทางการมีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจน แต่หนี้นอกระบบใช้กันแบบโหดมาก ร้อยละ 10 ต่อเดือน ซึ่งปีนึงก็เกินเงินต้นไปแล้ว ที่ประกาศไปแล้ว เราจะใช้หน่วยงานความมั่นคงเข้ามาช่วยเหลือกัน นายอำเภอ ผกก.ตำรวจ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง เรียกเจ้าหนี้กับลูกหนี้มา แล้วก็มาคุยกัน
นายเศรษฐากล่าวถึง ปัญหายาเสพติดว่า ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ทุกเวลาที่ตนไปหาเสียงเราก็บอกว่า เป็นเรื่องที่เราต้องทำอย่างบูรณาการ นายกรัฐมนตรีต้องนั่งหัวโต๊ะในการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยึดทรัพย์ ซึ่งกระบวนการนี้ยังช้าอยู่ คนที่ค้ายาเสพติดไม่ได้กลัวติดคุก กลัวเรื่องการถูกยึดทรัพย์มากกว่า
เรื่องความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรามีการตั้งคณะกรรมการมาแล้ว โดยท่านรองนายกฯ ภูมิธรรม เวชชยชัย ได้เขียนไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้วก็ได้บอกกับสื่อมวลชนไป
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประเด็นการเกณฑ์ทหารว่า ตอนนี้ทาง รมว.กลาโหม มีการพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เรื่องสรรพกำลังของทหารด้วยว่าต้องลดอย่างไร ซึ่งเราต้องให้เยาวชนเรามีสิทธิเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพ ถือว่าเป็นเรื่องนึงที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำความไม่สบายใจของสังคม
ส่วนประเด็นการ ยุบ กอ.รมน.นั้น เศรษฐา ทวีสิน ได้เผยว่า รู้สึกตกใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากไม่เคยแถลงนโยบายนี้ออกไป ซึ่งทุก ๆ องค์กร ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ กอ.รมน. ไม่ว่าจะเป็น BOI หรือ EEC ก็ต้องได้รับการพัฒนาให้เป็นไปตามบริบทของสังคม
นอกจากนี้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยังปิดท้ายว่า จริง ๆ แล้ว การอาสาเข้ามาทำงานเพื่อประเทศ ไม่มีสิทธิบอกว่าเหนื่อย ไม่มีสิทธิบอกอะไร แต่ว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดก็คือเวลาไม่พอ เวลาไม่พอทุกอย่าง เวลาไม่พอในการทำงาน เวลาไม่พอในการนอน เพราะต้องมีงานพูดคุย ต้องมีงานทำอะไรหลายๆ อย่าง
ทั้งหมดนี้ เป็นผลงานหลัง นายกฯเศรษฐา เข้ามารับตำแหน่งได้ 60 วัน ที่เร่งแก้ไขปัญหารอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ความอยู่ดีกินดีจะถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน รัฐบาลจะขยายโอกาส ต่อยอดทุกความเป็นไปได้กับทุกโอกาสที่เข้ามา (Chance of possibility)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง