svasdssvasds

ลัทธิล่าอาณานิคม ปัจจัยที่ทำให้ยุโรปเหยียดชาวเอเชีย

ลัทธิล่าอาณานิคม ปัจจัยที่ทำให้ยุโรปเหยียดชาวเอเชีย

ปัจจัยด้านประวัติศาสตร์ในช่วงลัทธิล่าอาณานิคม เศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างภาพจำผ่านสื่อต่างๆ ส่งผลทำให้ชาวยุโรปเหยียดชาวเอเชีย

SHORT CUT

  • รากฐานทางประวัติศาสตร์จากการล่าอาณานิคมและแนวคิด Orientalism1 ยุคการล่าอาณานิคมของยุโรปสร้างแนวคิดว่าชาวเอเชีย "ด้อยพัฒนา" และ Edward Said เรียกว่า Orientalism ซึ่งเป็นการสร้างภาพเหมารวมว่าชาวตะวันออกแปลกแยกและล้าหลัง
  • การแข่งขันทางเศรษฐกิจและความหวาดกลัว "ภัยเหลือง" ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 การอพยพของแรงงานชาวเอเชียทำให้เกิดความกลัวว่าจะมาแย่งงาน จนเกิดแนวคิด "ภัยเหลือง" และนำไปสู่กฎหมายกีดกันคนเข้าเมือง เช่น Chinese Exclusion Act ในสหรัฐอเมริกา
  • บทบาทของสื่อและการเหมารวมทางวัฒนธรรม สื่อภาพยนตร์ตะวันตกมักนำเสนอภาพชาวเอเชียในลักษณะตลก ขลาดเขลา หรือเป็นตัวร้าย ซึ่งตอกย้ำภาพลักษณ์เชิงลบ แม้ในยุคปัจจุบันก็ยังมีการเหมารวม เช่น "คนเก่งเลขแต่เข้าสังคมไม่เก่ง" และเหตุการณ์ร่วมสมัย เช่น การเหยียดเชื้อชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 ก็สะท้อนว่าทัศนคติเชิงลบเหล่านี้ยังคงอยู่

ปัจจัยด้านประวัติศาสตร์ในช่วงลัทธิล่าอาณานิคม เศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างภาพจำผ่านสื่อต่างๆ ส่งผลทำให้ชาวยุโรปเหยียดชาวเอเชีย

การเหยียดเชื้อชาติ (Racism) เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ฝังรากลึกในสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะในโลกตะวันตกซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวข้องกับการล่าอาณานิคม การค้าทาส และการวางระบบอำนาจเชิงวัฒนธรรมเหนือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ หนึ่งในกลุ่มที่ตกเป็นเป้าของการเหยียดคือ "ชาวเอเชีย" ซึ่งถูกมองว่าต่ำต้อย ล้าหลัง หรือแม้กระทั่งเป็นภัยคุกคามจากโลกตะวันออก

ปัจจัยทางประวัติศาสตร์ แนวคิดเชิงอำนาจ และเหตุการณ์ที่มีการเหยียดชาวเอเชียอย่างโจ่งแจ้งในโลกตะวันตก สามารถนำมาวิเคราะห์ว่าเหตุใดการเหยียดชาวเอเชียจากอดีตจึงยังคงดำรงอยู่จนมาถึงยุคสมัยใหม่

รากฐานทางประวัติศาสตร์ ลัทธิล่าอาณานิคมและ Orientalism

การเหยียดชาวเอเชียมีรากฐานจากยุคล่าอาณานิคมของยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน เข้ายึดครองดินแดนในเอเชียและมองชาวพื้นเมืองว่า "ด้อยพัฒนา" จำเป็นต้องได้รับการ "พัฒนา" จากชาวตะวันตก แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ Edward Said เรียกว่า Orientalism ซึ่งหมายถึงการสร้างภาพเหมารวมของ "ชาวตะวันออก" ให้ดูแปลกแยก ล้าหลัง และเป็นวัตถุของการปกครอง

แนวคิดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิชาการหรือการเมืองเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายผ่านศิลปะ วรรณกรรม และสื่อ จนสร้างภาพจำที่ฝังแน่นเกี่ยวกับชาวเอเชียว่าเป็น "พวกอื่น" (The Other)

การแข่งขันทางเศรษฐกิจและ "ภัยเหลือง" (Yellow Peril)

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐฯ และยุโรปเริ่มมีแรงงานอพยพจากจีนและญี่ปุ่นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงาน ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่าชาวเอเชียจะมาแย่งงานคนขาว เกิดแนวคิดที่เรียกว่า Yellow Peril หรือ "ภัยเหลือง" ซึ่งมองว่าชาวเอเชียเป็นภัยคุกคามต่ออารยธรรมตะวันตก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Chinese Exclusion Act (1882) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกฎหมายห้ามคนจีนเข้าเมืองเป็นเวลานานกว่า 60 ปี ถือเป็นกฎหมายจำกัดคนต่างชาติฉบับแรกของประเทศ โดยมีแรงผลักดันจากความหวาดกลัวเชิงเชื้อชาติ

สื่อ ภาพยนตร์ และการเหมารวมทางวัฒนธรรม

สื่อภาพยนตร์ตะวันตกมักเสนอภาพชาวเอเชียในลักษณะตลก ขลาดเขลา หรือเป็นตัวร้าย เช่น ตัวละคร "Fu Manchu" ซึ่งเป็นภาพแทนของชาวจีนที่มีอำนาจลึกลับและน่ากลัว หรือภาพของชาวญี่ปุ่นที่โหดร้ายในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของความเป็นศัตรู

แม้กระทั่งในยุคสมัยใหม่ ชาวเอเชียก็ยังถูกเหมารวมผ่านภาพจำ เช่น "คนเก่งเลขแต่เข้าสังคมไม่เก่ง" หรือ "หญิงเอเชียที่อ่อนน้อมและพร้อมยอมรับการกดขี่" ทำให้วัฒนธรรมการเหยียดแฝงแทรกซึมอยู่ในสังคมอย่างแนบเนียน

เหตุการณ์ร่วมสมัย การเหยียดเชื้อชาติในยุค COVID-19

ช่วงการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา กระแสความเกลียดชังชาวเอเชียพุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร มีรายงานการทำร้ายร่างกายและใช้วาจาดูหมิ่นชาวเอเชียจำนวนมาก จากความเชื่อผิด ๆ ว่าไวรัสมีต้นตอจากคนจีน

องค์กร Stop AAPI Hate รายงานว่า ระหว่างปี 2020–2022 มีรายงานการโจมตีและการเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชีย-อเมริกันกว่า 11,000 กรณี โดยส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า ร้านอาหาร และท้องถนน

กรณีของ Michelle Go หญิงเชื้อสายเอเชียที่ถูกผลักตกรางรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กปี 2022 หรือการกราดยิงสปาในแอตแลนตาเมื่อปี 2021 ซึ่งเหยื่อเป็นหญิงเชื้อสายเอเชียถึง 6 คน เป็นตัวอย่างอันน่าสะเทือนใจของการเหยียดเชื้อชาติที่ลงเอยด้วยความรุนแรง

การเหยียดชาวเอเชียในโลกตะวันตกมีรากฐานลึกจากลัทธิอาณานิคม การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ความเชื่อที่ถูกสร้างผ่านสื่อ และการเหมารวมทางวัฒนธรรม แม้จะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่เหตุการณ์ร่วมสมัย เช่น การเหยียดในยุค COVID-19 ยังสะท้อนว่าทัศนคติเชิงลบต่อชาวเอเชียยังคงอยู่

การเข้าใจประวัติศาสตร์และรากเหง้าของความเกลียดชังนี้เป็นก้าวแรกในการสร้างสังคมที่มีความเข้าใจและเคารพความหลากหลายมากขึ้น การรณรงค์ การศึกษา และนโยบายต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์

อ้างอิง

Said, E. (1978). Orientalism. New York: Pantheon Books. / Tchen, J. K. W., & Yeats, D. (2014). Yellow Peril!: An Archive of Anti-Asian Fear. Verso Books. / Stop AAPI Hate. (2022). National Report: Two Years of Hate. / Wu, E. D. (2013). The Color of Success: Asian Americans and the Origins of the Model Minority. Princeton University Press. / Chang, G. H. (2003). Asian American Struggles for Racial Justice. In Major Problems in Asian American History (pp. 479–493). Houghton Mifflin.

related