พาณิชย์เข้ม! ตรวจ"ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" ปมนอมินีจีน

ตรวจสอบ “ไชน่า เรลเวย์ฯ”

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ส่งผลให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต พบว่าหนึ่งในคู่สัญญาที่รับผิดชอบงานก่อสร้าง คือ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด

กระทรวงพาณิชย์เปิดปฏิบัติการตรวจสอบธุรกิจนอมินี

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงสั่งการให้คณะทำงานปราบปรามธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจสอบโดยด่วน หลังมีข้อสงสัยว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทอาจเข้าข่ายเป็น ธุรกิจนอมินีต่างชาติ ซึ่งเป็นการอำพรางการถือหุ้นของชาวต่างชาติผ่านบุคคลสัญชาติไทย

พบความผิดปกติ – สำนักงานปิดเงียบ ติดต่อไม่ได้

ในวันที่ 31 มีนาคม คณะทำงานฯ ร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, บก.ปอศ. และ ปปง. ลงพื้นที่สำนักงานของบริษัทฯ บริเวณแขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ พบว่าสำนักงานปิดเงียบ ไม่มีพนักงาน และไม่สามารถติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ที่จดทะเบียนไว้ได้ทั้งเบอร์พื้นฐานและมือถือ

โครงสร้างผู้ถือหุ้น – คนไทย 51% ต่างชาติ 49%

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

ผู้ถือหุ้น:
 • นายโสภณ มีชัย (คนไทย) – 51%
 • นายชวนหลิง จาง (ชาวจีน) – 49%

กรรมการบริษัทมี 2 คน ตรงกับผู้ถือหุ้นทั้งสองราย

วัตถุประสงค์: งานก่อสร้างอาคาร, อาคารพาณิชย์, รถไฟ, รถสาธารณะ, รวมถึงบริการทรัพยากรมนุษย์

คณะทำงานเตรียมขยายผลตรวจสอบอีก 13 บริษัท

นายพิชัยเปิดเผยว่า คณะทำงานฯ จะประชุมในวันที่ 1 เมษายน เพื่อหารือแนวทางขยายผลไปยังนิติบุคคลอื่นอีก 13 แห่ง ที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งสำนักงานเดียวกัน หรือมีกรรมการและผู้ถือหุ้นร่วมกัน

 

หากพบเป็นนอมินีจริง โทษหนักตามกฎหมาย

หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นธุรกิจนอมินีจริง ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ได้แก่ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 – 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายกฯ แพทองธาร สั่งเร่งแก้ปัญหาธุรกิจแฝงต่างชาติ

นายพิชัยย้ำว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาธุรกิจแฝงต่างด้าวมาโดยตลอด เพราะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้น โปร่งใส และต่อเนื่อง