SHORT CUT
ไทยก็เคยมี "กาสิโนถูกกฎหมาย" จากบ่อนเบี้ย ตั้งแต่สมัย ร.2 สู่กาสิโน 11 แห่งยุครัฐบาลคณะราษฎรสุดท้ายล้มเลิกเพราะผู้คน "หมดเนื้อหมดตัว"
การพนันไม่เคยหายไปจากสังคมไทย เพราะการพนันเล่นกับความรู้สึก "อยากเอาชนะ" ของมนุษย์ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ กษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2199 - 2231 ในบันทึกของ "Monsieur De La Loubere" หรือลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ระบุตอนหนึ่งว่า
“ชาวสยามอยู่ค่อนข้างรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัว ด้วยในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นก็คือ ติกแตก ชาวสยามเรียกว่า สะกา”
ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายเรียกว่า "บ่อนเบี้ย" เป็นสถานที่สำหรับเล่นถั่วโปหรือกำถั่ว เป็นที่นิยมในหมู่คนจีน ยุคนั้นเฟื่องฟูมากขนาดเก็บ “อากรบ่อนเบี้ย” หรือภาษีเข้าท้องพระคลังจากบ่อนได้ปีละหลายแสนบาท
สมัยรัชกาลที่ 3 การค้าขายเจริญขึ้น มีการจัดระเบียบภาษีอากรต่างๆและมีการตั้งอากรหวยขึ้น สมัยรัชกาลที่ 4 มีการตั้งอากรการพนัน โดยกำหนดประเภทการพนันที่ต้องเสียภาษี ทำให้สามารถเก็บอากรได้มากขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 มีหลักฐานว่าการพนันที่รุ่งเรืองทำให้สังคมเสื่อมโทรมขึ้น และในคราวเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีใจความว่า พระองค์ได้ทรงเรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งแล้ว เห็นว่าสนุกกว่าอะไรทั้งหมด หากชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้วจะฉิบหายกันไม่เหลือ หากเข้าเมืองเราเมื่อไรต้องห้ามทันที รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ลดจำนวนบ่อนเบี้ยลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2431 จนกระทั่งปี 2459 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เลิกหวยและบ่อนเบี้ยทั้งหมด และทรงตรากฎหมายห้ามเล่นหวยและถั่วโปในราชอาณาจักร
รัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งคลังออมสินให้ประชาชนรู้จักการออมเงินแทนการเล่นพนัน ทรงประกาศยกเลิกอากรบ่อนเบี้ย จนสมัยรัชกาลที่ 7 มีการตรากฎหมาย พรบ.การพนัน เพื่อควบคุมและลดจำนวนการเล่นการพนัน แต่แล้วก็มีการเลิก พรบ.ฉบับนั้นไป
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 รัฐบาลใหม่ตรากฎหมายให้การพนัน กลับมาถูกกฎหมายอีกครั้ง ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ประเทศไทยมีกาสิโนถูกกฎหมายมากถึง 11 แห่ง กระจายตามหัวเมืองใหญ่ๆ ได้แก่ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตง และสุไหงโกลก เฟื่องฟูขนาดที่กระทรวงการคลังมีการออกเหรียญ "กาสิโนไทย" มาใช้แทนชิพด้วย
กระทั่งสมัยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ไทยเผชิญภาวะเงินเฟ้อหนักยุคปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลกลับมาเปิดกาสิโนอีกครั้ง แต่เปิดได้เพียง 82 วันหรือราว 3 เดือนก็ต้องปิดไป แม้จะสร้างรายได้ให้รัฐมากมายแต่ประชาชนเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว ก่อปัญหาสังคมต่างๆ
กาสิโน บ่อนการพนัน มักเป็นไอเดียการสร้างรายได้สำหรับประเทศที่มีรายได้รัฐไม่ตรงเป้า แต่คนไทยมีภูมิคุ้มกันมากพอแล้วหรือยัง? เราจะเจริญขึ้นหรือสังคมจะถอยหลัง เป็นความท้าทายที่เราต้องประเมินร่วมกันต่อไป