SHORT CUT
เปิดโปงปมร้อน การอบรมอาสาตำรวจชาวจีน กับคำถามที่ต้องการคำตอบจากสังคมไทย ในวันที่รัฐต้องยึดถือ ทฤษฎีการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ แนวคิดธรรมาภิบาล และ แนวคิดด้านความมั่นคงแห่งชาติ
การเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับการจัดอบรมอาสาตำรวจสำหรับชาวจีนในประเทศไทย ได้จุดประเด็นคำถามมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใสและความเหมาะสมในการดำเนินการดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร จากพรรคประชาชน ได้เปิดเผยข้อมูลผ่านทวิตเตอร์ถึงการจัดอบรมที่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงถึง 38,000 บาทต่อคน สำหรับการอบรมเพียง 3 วัน
การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่าดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของกองบังคับการนครบาลภาค 3 หลักสูตรการอบรมครอบคลุมเนื้อหาหลายด้าน ประกอบด้วย การฝึกอบรมการใช้วิทยุสื่อสารและรหัสการสื่อสารของตำรวจ การเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายไทย การฝึกภาคสนามและการฝึกยิงปืน การสอนวิธีการใช้อาวุธปืน
ผู้เข้าอบรมจะได้รับชุดอุปกรณ์ประกอบการอบรม ซึ่งรวมถึง
การเรียกเก็บเงินค่าอบรมสูงถึง 38,000 บาท สำหรับการอบรมเพียง 3 วัน ก่อให้เกิดคำถามถึงความเหมาะสมและความโปร่งใสในการจัดเก็บค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีการชี้แจงรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณอย่างชัดเจน
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ยืนยันว่าไม่มีการอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ในการอบรมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร
ล่าสุด
นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะโฆษกกระทรวง อว. เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่ามีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเปิดคอร์สให้คนจีนมาอบรม “อาสาตำรวจคนจีน” พร้อมอ้างถึงความร่วมมือกับสำนักงานสืบสวนกลาง กองบังคับการนครบาลภาค 3 โดยมีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาทนั้น
ซึ่งหลังจากทราบข่าว น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้สั่งการให้ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. เร่งดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานไปยังมหาวิทยาลัยดังกล่าวแล้ว เพื่อให้ชี้แจงกลับมาโดยด่วน เช่น วัตถุประสงค์ของการจัดคอร์สอบรมว่าทำไปเพื่ออะไร และอยู่ในขอบเขตที่ควรกระทำหรือไม่
“ยืนยันว่ากระทรวง อว. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังเร่งทำความจริงให้ปรากฏ หากพบความผิดปกติหรือไม่ถูกต้องกระทรวง อว. ก็จะเข้าไปจัดการและดำเนินการตามมาตรการที่มีทันที” น.ส.สุชาดา กล่าว
ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
โดยแนวคิดด้านความมั่นคงแห่งชาติ (National Security) ชี้ให้เห็นว่าการให้การอบรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจแก่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการฝึกใช้อาวุธปืนและการสื่อสารทางวิทยุ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ
การขาดการควบคุมและตรวจสอบ
การที่สามารถจัดการอบรมในลักษณะนี้ได้ สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในระบบการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานความมั่นคง อิงกับแนวคิดธรรมาภิบาล (Good Governance)
ผลกระทบในวงกว้าง
ด้านความมั่นคงของประเทศเสี่ยงต่อการนำความรู้และทักษะไปใช้ในทางที่ผิด อาจเกิดการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อกระทำการผิดกฎหมาย ความเสี่ยงในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญของทางราชการ
ด้านภาพลักษณ์องค์กรตำรวจ
ความน่าเชื่อถือขององค์กรถูกกระทบกระเทือน เกิดคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติงาน ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการรักษาความปลอดภัยลดลง
ด้านการบริหารจัดการ
เกิดความสับสนในการบังคับบัญชาและการควบคุม ขาดความชัดเจนในเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่ การสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีปัญหา ผิดกับหลักทฤษฎีการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการบริหารจัดการ
การตรวจสอบและสอบสวน โดยจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตรวจสอบที่มาของการอนุมัติโครงการ สืบสวนเส้นทางการเงินและการใช้จ่ายงบประมาณ ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิด
การปรับปรุงระบบการควบคุม ต้องกำหนดมาตรฐานและระเบียบการอบรมอาสาตำรวจต่างชาติให้ชัดเจน สร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลในการอนุมัติโครงการ พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน
การสร้างความโปร่งใส กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายที่เป็นมาตรฐาน เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานต่อสาธารณะ จัดทำระบบรายงานผลการดำเนินงานที่ตรวจสอบได้
การพัฒนาระบบอาสาตำรวจต่างชาติ ทบทวนและปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสม กำหนดขอบเขตหน้าที่ที่ชัดเจน เน้นบทบาทการเป็นผู้ช่วยเหลือด้านการสื่อสารเป็นหลัก
ซึ่งข้อเสนอนี้เป็นไปตาม ทฤษฎีการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการบริหารจัดการ แนวคิดธรรมาภิบาล (Good Governance) ที่ว่าด้วยหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี รวมไปถึง ทฤษฎีองค์การ (Organization Theory) ที่อธิบายถึงโครงสร้างและการควบคุมในองค์กร
การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ ควรมีการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดอบรมอาสาตำรวจต่างชาติให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น
การสร้างระบบการกำกับดูแล จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบการกำกับดูแลการอบรมอาสาตำรวจต่างชาติ
การพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงาน กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจนสำหรับอาสาตำรวจต่างชาติ
การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ส่งเสริมการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการควบคุมและตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
เห็นได้ว่ากรณีการอบรมอาสาตำรวจชาวจีนนี้ไม่เพียงเป็นประเด็นเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งแก้ไข แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบการควบคุมและตรวจสอบในองค์กรตำรวจอย่างจริงจัง การแก้ไขปัญหาต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีกในอนาคต การสร้างความสมดุลระหว่างการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยกับการรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของประเทศเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
อ้างอิง
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า / สถาบันพระปกเกล้า / Medium / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / รศ.ดร.เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ และคณะ เรื่อง "การปฏิรูประบบงานตำรวจ" / ผศ.ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ เรื่อง "การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ" / ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ เรื่อง "หลักนิติธรรมกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ" /
ข่าวที่เกี่ยวข้อง