svasdssvasds

คดี 'จีเซล เพเลคอต' การข่มขืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส

คดี 'จีเซล เพเลคอต' การข่มขืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส

“ผู้ข่มขืนไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์กลางดึก เพราะพวกเขาอาจเป็นหนึ่งในเพื่อน หรือครอบครัวเราเองก็ได้” จีเซล เพเลคอต พูดขึ้นระหว่างศาลไต่สวนคดีของตัวเธอเอง

SHORT CUT

  • ศาลสูงฝรั่งเศสมีคำตัดสินใจลงโทษจำคุก โดมินิก เพเลคอต เป็นเวลา 20 ปี จากความผิดมอมยาและข่มขืน จิเซล เพเลคอต อดีตภรรยาของตัวเอง ตลอด 9 ปี หรือตั้งแต่ปี 2011 - 2020 
  • ศาลยังตัดสินจำคุกผู้ชายที่มีส่วนร่วมข่มขืน จิเซล อีก 50 คน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 26 - 74 ปี มีอาชีพเป็นทั้ง นักข่าว, ทหาร, ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์, ชาวนา, คนขับรถบรรทุก และบางคนเป็นเพื่อนบ้านของเธอเองด้วยซ้ำ
  • ในฮาร์ดไดรฟ์ของโดมินิกมีไฟล์ชื่อว่า “ชำเรา (abuse)” ด้านในเก็บวีดีโอมากกว่า 200 ชิ้นในขณะที่จีเซลกำลังสลบไหลและถูกคนแปลกหน้าข่มขืน เหตุการณ์แทบทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องนอนส่วนตัวของทั้งคู่ 

  • โดมินิกกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในอีก 2 คดี คดีแรกคือคดีพยายามข่มขืนในปี 1999 และคดีฆาตกรรมในปี 1991

  • การตัดสินใจเปิดเผยตัวตนของจีเซล นับเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากในคดีข่มขืน ทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงผู้กล้าหาญ เผชิญหน้าความอยุติธรรมอย่างเปิดเผย และทำให้เธอได้รับเสียงชื่นชมและการยอมรับอย่างมากจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรี รวมถึงนักการเมือง 

“ผู้ข่มขืนไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์กลางดึก เพราะพวกเขาอาจเป็นหนึ่งในเพื่อน หรือครอบครัวเราเองก็ได้” จีเซล เพเลคอต พูดขึ้นระหว่างศาลไต่สวนคดีของตัวเธอเอง

ในวันนี้ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศต่างพร้อมใจกันอุทิศหน้าหนึ่งให้แก่คดีของ จีเซล เพเลคอต (Gisèle Pelicot) หญิงฝรั่งเศสวัย 72 ปีที่ตกเป็นเหยื่อการข่มขืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เธอถูก โดมินิก เพเลคอต (Dominique Pelicot) อดีตสามีของตัวเองมอมยาสลบ เพื่อนำร่างไร้สติของเธอมอบให้แก่ชายแปลกหน้า 50 คน เป็นระยะเวลานานถึง 9 ปี 

นี่คือหนึ่งในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดในทวีปยุโรป และศาลฝรั่งเศสเพิ่งมีคำตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดทั้งหมด เกิดอะไรขึ้นบ้างในคดีนี้ SPRiNG ไล่เรียงมาให้อ่านกัน 

1. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. พ.ศ. 2567 ศาลสูงฝรั่งเศสมีคำตัดสินใจลงโทษจำคุก โดมินิก เพเลคอต เป็นเวลา 20 ปี จากกรณีวางยา จิเซล เพเลคอต อดีตภรรยาของตัวเอง และบังคับให้ผู้ชาย 50 คนข่มขืนเธอตลอด 9 ปี หรือตั้งแต่ปี 2011 - 2020 

ศาลยังตัดสินจำคุกผู้ชายที่มีส่วนร่วมข่มขืน จิเซล อีก 50 คน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 26 - 74 ปี มีอาชีพเป็นทั้ง นักข่าว, ทหาร, ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์, ชาวนา, คนขับรถบรรทุก และบางคนเป็นเพื่อนบ้านของเธอเองด้วยซ้ำ


 

2. ใครคือ โดมินิก เพเลคอต? เขาเป็นที่รู้จักในฐานะอดีตช่างไฟฟ้าและอดีตนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยภายหลังเกษียณ เขาและ จีเซล อดีตภรรยาที่แต่งงานกันมาเป็นเวลา 50 ปี ได้ย้ายออกจากปารีส เพื่อมาอยู่ในเมืองมาซอง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส 

โดมินิก และ จีเซล มีลูกด้วยกัน 3 คน และมีหลานอีก 6 คน โดมินิกเป็นที่รักของหลานๆ เขาเป็นคุณปู่ผู้อบอุ่น ชอบใช้เวลาอยู่ร่วมกับหลานชายและเพื่อนของหลาน บางครั้งที่เพื่อนของหลานมาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน โดมินิกจะเต้นรำร่วมกับพวกเขา จนเพื่อนของหลายบางคนเคยมองว่าเขาเป็น ‘ไอดอล’ เสียด้วยซ้ำ 

 

3. ไม่เคยมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของโดมินิก กระทั่งวันที่ 12 ก.ย. พ.ศ. 2563 มันเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวและผู้หญิงหลายคนเลือกสวมกระโปรงสั้นมาเดินซูเปอร์มาเก็ต โดมินิกขับรถออกจากบ้านในชุดสีดำ พร้อมกระเป๋าสีดำที่ด้านในมีกล้องแอบถ่ายซ่อนเอาไว้ 

ขณะที่เขากำลังแอบถ่ายใต้กระโปรงของผู้หญิง 2 คน พนักงานรักษาความปลอดภัยได้สังเกตเห็นท่าทางพิรุธของโดมินิก เขาจึงรีบโทรแจ้งตำรวจและบอกให้ผู้หญิงทั้งคู่แจ้งความ ซึ่งความผิดพลาดดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มการสอบสวนโดมินิก 

 

4. เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และตรวจค้นโทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องของโดมินิก พวกเขาค้นประวัติสนทนา ก่อนเข้าไปค้นต่อที่บ้านของโดมินิก ก่อนต้องผงะ เมื่อพบภาพถ่ายและวีดีโอเกี่ยวกับข่มขืนและการละเมิดทางเพศหลายพันชิ้น ซึ่งเหยื่อที่พบในหลักฐานเหล่านั้นมีทั้งทั้งภรรยา, ลูกสาว และแฟนสาวของลูกชายของโดมินิก


 

5. โดมินิกใช้เว็บไซต์ Coco เป็นสื่อกลางในการชักชวนคนแปลกหน้าให้มาข่มขืนจีเซล โดยเขามักทักไปทำนองว่า “ผมกำลังมองหาเพื่อนโรคจิต ที่จะมาชำเราเมียผมที่กำลังนอนอยู่” หรือ “ถ้านายเหมือนกับฉัน เราคือพวกที่ชอบข่มขืน” ก่อนจะมีการคุยต่อทางโทรศัพท์หรือแชทส่วนตัว

ในฮาร์ดไดรฟ์ของเขามีโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า “ชำเรา (abuse)” ด้านในเก็บวีดีโอมากกว่า 200 ชิ้นในขณะที่จีเซลกำลังสลบไหลและถูกคนแปลกหน้าข่มขืน เหตุการณ์แทบทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องนอนส่วนตัวของทั้งคู่ โดมินิกจะเปิดโคมไฟหัวนอนเอาไว้ ปล่อยเสียงทีวีให้ดังเป็นพื้นหลัง และมีป้ายตั้งไว้ข้างหมอนที่จีเซลหนุนว่า “ร่าน” หรือ “กะหรี่ฟรี” 

โดมินิกยอมรับต่อศาลว่า เขาได้ไปพบแพทย์เพื่อขอยานอนหลับ ก่อนจะซ่อนมันไว้ในถุงเท้าของรองเท้าเดินป่าที่อยู่ในโรงรถ ก่อนจะนำมาผสมกับอาหารหรือน้ำเพื่อให้จีเซลกิน ก่อนเปิดทางให้คนแปลกหน้ามาข่มขืนเธอ ซึ่งยาที่เขาใช้ผสมมักมีโดสอยู่ในระดับที่ทำให้ จีเซล หลับไม่รู้ตัวไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมง 

 

6. อันที่จริง ก่อนที่ตำรวจจะพบหลักฐานที่โดมินิกซุกซ่อนเอาไว้ จีเซล เคยกังวลถึงอาการหมดสติของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เธอมักมีความรู้สึกว่าอยู่ดีๆ ตัวเองก็หมดสติ แล้วหลังจากนั้นความทรงจำทั้งหมดก็หายไป เธอจะมีอาการสมองล้า (Brain Fog) เหนื่อยล้ามากเกินควร จนทำให้เธอคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคร้ายบางอย่าง 

ในช่วงเวลานั้น เธอไม่กล้าออกไปไปไหนคนเดียว เลิกขับรถคนเดียว ทำตัวแแปลกๆ เช่น จิกขาระหว่างนั่งรถไฟมาที่บ้านลูกชายในกรุงปารีส เธอนัดพบแพทย์หลายสาขา โดยมักมีโดมินิกไปเป็นเพื่อน แต่ไม่มีแพทย์คนไหนเตือนว่าเธอถูกวางยาแม้แต่คนเดียว 

ครั้งหนึ่งเธอตื่นมาพบว่ากางเกงในตัวใหม่ของเธอมีคราบเปื้อน ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน เธอจึงหยอกล้อโดมินิกว่า “คุณคงไม่ได้วางยาสลบฉันใช่ไหม โดมินิก” แต่โดมินิกกลับร้องไห้แล้วบอกว่าเธอกล่าวหาเขา ก่อนบอกว่าเธอเหนื่อยจากการดูแลหลานๆ มากกว่า 

 

7. ถึงแม้โดมินิกจะตั้งกฎบางอย่างไว้ในการข่มขืนจีเซล เช่น ให้จอดรถห่างออกจากตัวบ้าน เพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านสังเกตเห็น ให้ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดและวางทิ้งไว้ในห้องครัว ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามดื่มเหล้า อย่างไรก็ตาม นักข่มขืนหลายคนก็ไม่สนใจปฏิบัติตาม 

แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ โดมินิกไม่บังคับให้นักข่มขืนใส่ถุงยางตอนที่ชำเราจีเซล ในตอนนี้ จีเซลจึงมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 4 โรคที่จะติดตัวเธอไปจนวันตาย 

 

8. ในระหว่างการไต่สวน ผู้ต้องหาหลายคนปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ข่มขืนจีเซล หนึ่งในผู้ต้องหาที่เป็นอดีตพนักงานดับเพลิงยืนยันว่าตัวเอง ‘บริสุทธิ์’ เพราะเขาคิดว่า จีเซล ไม่ได้หมดสติ แต่มันเป็นแค่เกมของคนทั้งสองเท่านั้น หรือทหารหนุ่มที่เคยชำเรา จีเซล สองครั้งก็ปฏิเสธข้อหาข่มขืน โดยเขากล่าวว่า “ผมกลายเป็นนักข่มขืนเพราะกฎหมายบอกให้ผมเป็น” ก่อนกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นผมไม่รู้จักคำว่า ความยินยอม (consent) ด้วยซ้ำ”

ถึงแม้ผู้ต้องหาส่วนมากจะปฏิเสธข้อหาข่มขืน แต่ผู้ต้องหาหลายคนก็ยอมรับในสิ่งท่ีตัวเองทำ 

 

10. นอกจากคดีนี้ โดมินิกกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในอีก 2 คดี คดีแรกโดมินิกสารภาพว่าเป็นผู้กระทำ มันเกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อโดมินิกปลอมตัวไปดูบ้านหลังหนึ่งในชานเมืองปารีส ก่อนทำร้ายร่างกายและมอมยาสลบนายหน้าสาว  แต่หยุดการข่มขืนไว้กลางคัน โดยเขาอ้างว่าเป็นเพราะนายหน้าคนดังกล่าวมีอายุใกล้เคียงกับลูกสาวของตัวเอง

อีกคดีเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อนายหน้าสาวคนหนึ่งถูกมัดด้วยเชือก และถูกแทงด้วยมีดจนเสียชีวิตในบ้านหลังหนึ่งชานเมืองปารีส โดยคดีนี้อยู่ระหว่างการสืบสวน 

 

11. การตัดสินใจของจีเซลที่จะไม่ปิดบังตัวตน และเปิดหน้าเพื่อให้การอย่างเปิดเผย นับเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากในคดีข่มขืน การลุกขึ้นยืนครั้งนี้จึงทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงผู้กล้าหาญ เผชิญหน้าความอยุติธรรมอย่างเปิดเผย และทำให้เธอได้รับเสียงชื่นชมและการยอมรับอย่างมากจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรี รวมถึงนักการเมือง 

“ขอบคุณ จีเซล เพลิคอต” โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี “ความกล้าหาญที่จะสู้เพื่อความยุติธรรมของคุณได้มอบเสียงอันเข้มแข็งให้แก่ผู้หญิงทั่งโลก เพราะความอับอายควรอยู่กับผู้กระทำผิด ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ”

“(การตัดสิน) เขย่าข้อห้ามทั้งหมดของสังคม และมันสร้างจุดเปลี่ยนให้แก่การสู้กับวัฒนธรรมการข่มขืน ความอับอายกำลังหมุนกลับ” มารีน ทอนเดอร์แลห์ หัวหน้าพรรคกรีนฝรั่งเศส ที่เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษากล่าว 

 

12. ภายหลังการตัดสินคดี จีเซลได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยเธอกล่าวว่า เธอกำลังคิดถึง “เหยื่อผู้ถูกลืมเลือน และเรื่องราวที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืดของพวกเขาและเธอ”

“ฉันอยากบอกทุกคนว่าเราต่างต่อสู้ในสนามเดียวกัน” เธอกล่าวต่อ “ตั้งแต่ฉันตัดสินใจเริ่มสู้ในคดีนี้ ฉันหวังว่าทั้งสังคมจะจับจ้องและเป็นพยานในการโต้เถียงครั้งนี้..” 

“ตอนนี้ ฉันมั่นใจมากในความเป็นไปได้ ที่เราจะมีอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เราสามารถอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว เคารพซึ่งกันและกัน และเต็มไปด้วยความเข้าใจ” จีเซลทิ้งท้าย 

 

13. บางคนนำคดีนี้ไปเทียบกับคดี ‘คืนบาปพรหมพิราม’ เมื่อหญิงสาวสติไม่ดีนางหนึ่งถูกไล่ลงจากรถไฟที่สถานีพรหมพิราม จ.พิษณุโลก ด้วยความหิวเธอถูกกลุ่มวัยรุ่นล่อลวงให้ไปกินข้าวในงานแต่ง ก่อนถูกหลอกไปข่มขืนในไร่ข้าวโพดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียชีวิต กลุ่มผู้ก่อเหตุจึงตัดสินใจนำร่างของเธอมาให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี

ถึงแม้ในท้ายที่สุด ทั้งคดีที่เกิดขึ้นกับจิเซลและคดีคืนบาปพรหมพิรามจะมีผู้รับโทษ แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นกับเหยี่อข่มขืนคงยากที่จะลบให้หายไป มันจะติดตัวเขา/ เธอไปจนวันตาย ไม่มีวันหายไป ตราบใดที่ยังมีการข่มขืนเกิดขึ้นในสังคม 


 

related