svasdssvasds

“เล่นเพื่อน” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเรื่องผิดในสังคมไทย

“เล่นเพื่อน” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเรื่องผิดในสังคมไทย

“เล่นเพื่อน” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเรื่องผิดในสังคมไทย แต่ในปัจจุบันมีสมรสเท่าเทียมทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่แสดงออกได้แล้ว

SHORT CUT

  • ทำเอาแฟนๆ “แม่หยัวศรีสุดาจันทร์” ต่างตะลึงไปตามๆ ค่ำคืนที่ผ่านมา กับฉากสวีทกลางสระบัว ระหว่าง พระมเหสีศรีสุดาจันทร์ และพระสนมตันหยงจากเมืองนครศรีธรรมราช ที่จุมพิตกันแสดงออกถึงความรัก
  • ทำเอาแฟนๆ “แม่หยัวศรีสุดาจันทร์” ต่างตะลึงไปตามๆ ค่ำคืนที่ผ่านมา กับฉากสวีทกลางสระบัว ระหว่าง พระมเหสีศรีสุดาจันทร์ และพระสนมตันหยงจากเมืองนครศรีธรรมราช ที่จุมพิตกันแสดงออกถึงความรัก
  • อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยุคปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น และมีการผลักดันกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งผ่านร่างและเตรียมประกาศใช้ในปี 2567 และจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568

“เล่นเพื่อน” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเรื่องผิดในสังคมไทย แต่ในปัจจุบันมีสมรสเท่าเทียมทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่แสดงออกได้แล้ว

ทำเอาแฟนๆ “แม่หยัวศรีสุดาจันทร์” ต่างตะลึงไปตามๆ ค่ำคืนที่ผ่านมา กับฉากสวีทกลางสระบัว ระหว่าง พระมเหสีศรีสุดาจันทร์ และพระสนมตันหยงจากเมืองนครศรีธรรมราช ที่จุมพิตกันแสดงออกถึงความรัก พร้อมกับการเผยความในใจของพระสนมว่าแม่หยัวศรีสุดาจันทร์คือรักแรกของเธอ

ทำเอาชาวยูริ ตื่นตาตื่นใจและจับ 2 คนนี้จิ้นกันทันที เรียกได้ว่าทำถึงสุดๆ

กระนั้นหากมองในมุมประวัติศาสตร์ เรื่องดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็นรักต้องห้าม เพราะหลังจากที่อิทธิพลความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่ได้แทรกซึมเข้ามาในสังคมไทย หญิงรักหญิง หรือที่เรียกกันว่า เล่นเพื่อน ถูกตีตราและถูกทำให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย

 

หญิงรักหญิงเป็นเรื่องผิดแต่ไม่รุนแรงในยุคก่อนปฏิรูปประเทศ

การเล่นเพื่อนสะท้อนนเรื่องราวของการ "รักร่วมเพศ" ในสังคมไทย โดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ตอนกลาง ซึ่งปรากฏหลักฐานผ่านวรรณกรรมและกฎหมาย แสดงให้เห็นถึงมุมมองและการยอมรับต่อความสัมพันธ์แบบ “หญิงรักหญิง” หรือ “เล่นเพื่อน”

 

การเล่นเพื่อน คือ การคบหาหญิงเพศเดียวกันในลักษณะชู้สาว ซึ่งแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะในสังคมหญิงล้วนอย่าง “รั้วในวัง” หนึ่งในเรื่องเล่าที่โด่งดังคือเรื่อง “หม่อมเป็ดสวรรค์” ซึ่งเป็น กลอนเพลงยาว ที่แต่งขึ้นราว ค.ศ. 1805-1815 โดย คุณสุวรรณ ราชนิกูลบางช้าง เพื่อล้อเลียนความสัมพันธ์ของ หม่อมสุด และ หม่อมขำ สองหม่อมห้ามในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ

หม่อมสุด หรือ “คุณโม่ง” เป็นผู้มีลักษณะก๋ากั่นคล้ายบุรุษ ส่วน หม่อมขำ หรือ “หม่อมเป็ด” เป็นผู้มีกิริยาอ่อนช้อยคล้ายสตรี ทั้งสองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน โดยเฉพาะหลังจากกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคต ทั้งคู่ได้เข้ารับราชการในพระบรมมหาราชวังและประจำอยู่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ จนเกิดเหตุการณ์ที่ทั้งสอง “เล่นเพื่อน” กันต่อหน้าพระพักตร์กรมหมื่นฯ โดยสำคัญผิดว่าพระองค์บรรทมหลับแล้ว ทำให้กรมหมื่นฯ ทรงพระราชทานฉายา “คุณโม่ง” และ “หม่อมเป็ด” ตามลักษณะของทั้งสอง

เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้พฤติกรรม “เล่นเพื่อน” จะขัดต่อกฎมณเฑียรบาล โดยมาตรา 124 วรรคสอง ระบุโทษไว้ว่า “อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกัน ทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ศักฅอประจานรอบพระราชวัง ทีหนึ่งให้เอาเปนชาวสดึง ทีหนึ่งให้แก่พระเจ้าลูกเธอหลานเธอ” แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าไม่ได้มีการลงโทษอย่างรุนแรง ดังเช่นกรณีของหม่อมสุดและหม่อมขำ ที่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงเมตตาและโปรดปรานทั้งสองเป็นอย่างมาก

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ทรงมีพระบรมราโชวาทสั่งสอนพระราชโอรสธิดาว่า “...พ่อขอสั่งแก่ตัวเจ้าไว้...พ่อขอเสียเป็นอันขาดทีเดียว คิดถึงคำพ่อสั่งสอนให้มากนักหนา อย่าสูบฝิ่นแลอย่าเล่นผู้หญิงที่ชั่ว อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด...” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้สังคมในยุคนั้นจะไม่ได้ต่อต้านพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่ยอมรับอย่างเปิดเผย และมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

วัฒนธรรมตะวันตกส่งผลทำให้ผิดกฎหมาย

หลังจากที่สยามมีการปฏิรูปประเทศ ได้มีการปฏิรูปประเทศตามอย่างวัฒนธรรมตะวันตก เพื่อสนองความคิดทำให้ตนเองเป็นช่ติที่ทัดเทียมกับอารยะประเทศ 

ณ ห้วงเวลาดังกล่าวตรงกับยุควิกตอเรียที่เผยแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรมไปสู่ทั่วโลก

ค่านิยมบางอย่างจากยุคนั้นก็ได้ซึมซับเข้ามาและมีอิทธิพลต่อความเชื่อเรื่องความรักระหว่างชายหญิงในสังคมไทยเช่นกัน

โดยเฉพาะบทบาทของสตรี ค่านิยมบางอย่างจากยุควิกตอเรียที่มองว่าสตรีควรมีบทบาทเป็นแม่บ้านแม่เรือนและมีความอ่อนโยน รวมไปถึงการสร้างครอบครัว ที่ต้องมีชายกับหญิงครองคู่และให้กำเนิดบุตร ค่านิยมนี้ขับเน้นเรื่องการสร้างครอบครัวที่มั่นคงและอบอุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมยุควิกตอเรียให้ความสำคัญ ก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการออกกฎหมายที่พาดพิงถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศ เช่น ประมวลกฎหมายลักษณะ ร.ศ. 127 มาตรา 124 ระบุว่า “ผู้ใดกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือกระทำ ชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องระวางโทษติดคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี แลให้ปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาทด้วยอิกโสด 1" ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของสังคมไทย ที่เริ่มมองว่ารักร่วมเพศเป็นความผิดทางกฎหมาย

ปัจจุบันอาจไม่ใช่เรื่องผิด

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยุคปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น และมีการผลักดันกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งผ่านร่างและเตรียมประกาศใช้ในปี 2567

จากวรรณกรรมและกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรม “เล่นเพื่อน” หรือ “เลสเบี้ยน” ในสังคมไทยมีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การยอมรับในระดับหนึ่ง ไปจนถึงการต่อต้านและออกกฎหมายลงโทษ และในปัจจุบัน สังคมไทยกำลังก้าวไปสู่การยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างเท่าเทียม

อ้างอิง

SilpaMag1 / SilpaMag2 / โรม บุนนาค / เล่นเพื่อน /

ข่าวที่เกี่ยวข้อง