SHORT CUT
“สู้แล้วรวย” ฮีโร่พลิกชีวิตจากความจน กดทับความเหลื่อมล้ำในโลกทุนนิยมเสรี ในวันที่สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำสูง
หลายคนมีภาพฝันต้องการเป็น "ผู้ประกอบการหนุ่ม-สาว ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว" จากการเริ่มต้นจากศูนย์ จากครอบครัวที่ลำบาก ไม่ได้เกิดมาแบบคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แต่ก็สู้จนพลิกชีวิตมาร่ำรวย ลืมตาอ้าปากได้ แถมยังมีเหลือมาแบ่งปันช่วยคนจนได้อีก คงเป็นภาพที่เราเห็นได้บ่อยตามรายการโทรทัศน์ หรือไวรัลประวัติคนดังหรือดาวรุ่งธุรกิจหน้าใหม่ตามเพจออนไลน์
ยิ่งในยุคนี้ที่หลายคนก็ร่ำรวยมาจากการขายสินค้าออนไลน์ หรือมีการตลาดดึงคนดังมาร่วมงาน จนชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักในวัยที่เรียกว่า “อายุน้อยร้อยล้าน” สิ่งนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน เพราะเขาคนนั้นได้ชื่อว่าเคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาแล้ว ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ทำให้ชีวิตของเขามีเรื่องราวหรือสตอรี่ ที่สุดแสนโรแมนติก หลายเป็นยอดมนุษย์ที่ใครๆ หลายคนมองว่าเป็นการสู้แล้วรวย
เป็นภาพสะท้อนบุคคลที่เริ่มจากศูนย์ ไม่มีต้นทุน แต่ขยันมุ่งมั่นจนประสบความสำเร็จ ซึ่งภาพดังกล่าวคือภาพที่นำไปสู่เรื่องราวที่ว่า “สู้แล้วรวย” สร้างความรู้สึกว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องโรแมนติกในสังคมไทย
ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะรู้สึกโรแมนติกกับเรื่องราวการต่อสู้จนร่ำรวยถึงขนาดถอดบทเรียน ทำเป็นหนังสือ หรือชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) หนึ่งในบริษัทข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ลูกคนจีนเสื่อผืนหมอนใบเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ ก่อนจะขยายกิจการไปสู่หลากหลายอุตสาหกรรม
ตลอดจนนายกรัฐมนตรีของไทยอย่าง ชวน หลีกภัย ลูกหลานชาวใต้ที่มีภาพลักษณ์ติดดิน เป็นเด็กวัด กินไข่ต้มทุกวัน คุณแม่ก็ขยันหาลี้ยงชีพส่งลูกเรียนหนังสือ ทำให้ ชวน มีความมุมานะตั้งใจ ตั้งแต่สมัยเรียนที่เป็นคนต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ค่อยๆ เติบโตในหน้าที่การงานจนก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และยังมีบุคคลตัวอย่างมากมายจากหลากหลายวงการที่มีภาพลักษณ์ดังกล่าว จนสร้างเรื่องราวของการ “สู้แล้วรวย” เติมเข้าไปในความรับรู้ของคนไทย
กลายเป็นว่าเรื่องจนและสู้ เป็นเรื่องที่คนไทยรู้สึกมาอย่างยาวนาน จนเราลืมตั้งคำถามว่าเรารู้สึกอย่างนี้มายาวนานมากน้อยแค่ไหน
ข้อสันนิษฐานบ่อเกิดความโรแมนติก สู้แล้วรวย เกิดในยุคหลังสงครามเย็น
วาทกรรม "สู้แล้วรวย" อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยภายหลังยุคสงครามเย็น และมีการเชื่อมโยงกับชัยชนะของฝ่ายทุนนิยม เป็นประเด็นที่น่าสนใจและสามารถวิเคราะห์ได้หลายมิติไม่ว่าจะเป็น
การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ หลังยุคสงครามเย็น ประเทศไทยเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอย่างเต็มที่ ซึ่งเน้นการแข่งขันและการแสวงหากำไร
วัฒนธรรมบริโภค การเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคที่สูงขึ้น คนจึงรู้สึกว่าต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ทันต่อกระแส
รวมถึงการสื่อสารและการตลาด สื่อต่างๆ ได้นำเสนอภาพลักษณ์ของความสำเร็จที่ได้มาจากการทำงานหนักและการแข่งขัน ซึ่งส่งเสริมให้คนเชื่อว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้หากมีความพยายามพอ และมองข้ามความเหลื่อมล้ำทางสังคมไปก็เป็นได้?
แต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น คนชั้นล่างต้องดิ้นรนเพื่อให้ทันกับคนชั้นบน
การลดบทบาทของรัฐ รัฐมีบทบาทในการดูแลสวัสดิการสังคมน้อยลง ทำให้ประชาชนต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของครอบครัว โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อตัวเองมากขึ้น
การสร้างความชอบธรรมให้กับระบบทุนนิยมการผลักภาระความล้มเหลว วาทกรรม "สู้แล้วรวย" ช่วยผลักภาระความล้มเหลวทางเศรษฐกิจไปยังตัวบุคคล ทำให้ระบบทุนนิยมดูเหมือนเป็นระบบที่ยุติธรรม
การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน วาทกรรมนี้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนทำงานหนักขึ้น โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
แน่นอนว่าย่อมมีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวยทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิจารณ์รัฐบาล หรือตั้งข้อสังเกตถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาษีที่เอื้ออำนวย
นักการเมืองที่ร่ำรวย ผู้ที่มีทรัพย์สินมหาศาลและมีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจต่างๆ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูง
เหตุผลที่บุคคลเหล่านี้มักจะไม่ค่อยออกมาวิจารณ์เรื่องรัฐสวัสดิการตามหลักทฤษฎีของฝ่ายสังคมนิยมมองว่า การออกมาวิจารณ์ของกลุ่มคนที่ร่ำรวยอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือทรัพย์สินของตนเอง คนรวยเองอาจมีมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างจากคนทั่วไป รวมไปถึงคนรวยอาจกลัวว่าการขยายระบบรัฐสวัสดิการจะนำไปสู่การเพิ่มภาษีสำหรับคนรวย หรืออาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สรรเสริญคนรวยเป็นเรื่องระดับโลก
หากมองย้อนไปหลายๆ ประเทศก็มีวัฒนธรรมการสรรเสริญคนรวย หรือคนต่อสู้ดิ้นรนจนสำเร็จเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น
สหรัฐอเมริกา มักถูกมองว่าเป็น "ดินแดนแห่งโอกาส" ที่ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้หากมีความพยายามพอ ความร่ำรวยจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จส่วนบุคคล และมักได้รับการยกย่องอย่างสูง
ประเทศในยุโรปตะวันตก อย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ มักถูกยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูง และความร่ำรวยก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดี
ประเทศในเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, และสิงคโปร์ ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการทำงานหนัก เพื่อให้บรรลุความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และสังคมก็มักจะให้เกียรติคนที่ประสบความสำเร็จ
ประเทศในตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย มักจะแสดงความเคารพต่อความมั่งคั่งและอำนาจ
ล้วนมีเหตุผลที่ประเทศเหล่านี้สรรเสริญคนรวย เนื่องมาจากแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เพราะการสรรเสริญคนรวยเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนอื่นๆ พยายามที่จะประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
วัฒนธรรมการแข่งขัน ในสังคมที่เน้นการแข่งขัน ความสำเร็จทางเศรษฐกิจมักถูกมองว่าเป็นเครื่องวัดความสามารถและความเก่งกาจของบุคคลหนึ่งๆ
ความเชื่อเรื่องความยุติธรรม ในบางสังคม มีความเชื่อว่าความร่ำรวยเป็นผลมาจากความพยายามและความสามารถของบุคคลนั้นๆ ดังนั้น คนรวยจึงสมควรได้รับการยกย่อง
บทบาทของสื่อ โดยสื่อมวลชนมักจะนำเสนอภาพลักษณ์ของคนรวยในทางบวก ซึ่งส่งผลต่อความคิดเห็นของคนในสังคม
ขณะเดียวกันวัฒนธรรมความร่ำรวยกลับซ่อนบาดแผลบางอย่างไว้มากมายเห็นได้จากตัวเลขของคนรวยในหลายๆ ประเทศสะท้อนถึงทรัพยากรรวมถึงสินทรัพย์อยู่ในมือของคนไม่กี่กลุ่มในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาประเทศที่มีเศรษฐีเงินล้าน ประมาณ 5.8% ของครัวเรือนอเมริกัน หรือประมาณ 7.2 ล้านครอบครัว ถือว่าเป็นเศรษฐีเงินล้าน (มีทรัพย์สินรวม 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป ไม่รวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย) และมีเพียงกลุ่มคนรวยที่สุด 1% โดยกลุ่มคนเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนการครอบครองรายได้รวมของประเทศสูงมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มประชากรส่วนใหญ่
หรือในประเทศไทยเอง มีการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า คนรวย 1% ของประเทศไทยถือครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ของประเทศ
เมื่อหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย ให้คุณค่ากับการต่อสู้แล้วรวย จนกลายเป็นเรื่องโรแมนติก ทำให้เกิดการผลิตซ้ำเป็นรายการออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นไมค์หมดหนี้ ดวลเพลงชิงทุน ตลอดจนรายการที่ตั้งชื่ออย่างตรงไปตรงมาชื่อว่า รายการสู้แล้วรวย
จนเราลืมตั้งคำถามไปว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและส่งผลกระทบมากมายไม่ว่าจะเป็น
1. สร้างความชอบธรรมให้กับความเหลื่อมล้ำ
โดยมองว่าความสำเร็จเป็นเรื่องของบุคคล วัฒนธรรม "สู้แล้วรวย" มักเน้นย้ำว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวเป็นผลมาจากความพยายามของแต่ละบุคคลเพียงอย่างเดียว ทำให้มองข้ามปัจจัยทางโครงสร้าง เช่น ระบบเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม โอกาสในการศึกษาที่แตกต่างกัน หรือการผูกขาดอำนาจของกลุ่มทุน
ความยากจนเป็นความผิดของตนเอง คนจนจึงถูกมองว่าเป็นผู้ขาดความพยายาม ขาดความสามารถ หรือขาดคุณธรรม ทำให้สังคมไม่เห็นใจและไม่ต้องการที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนในเชิงโครงสร้าง
การแข่งขันเป็นสิ่งจำเป็น โดยวัฒนธรรมนี้ส่งเสริมให้คนเราแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของทุนนิยมเสรีที่เน้นการแข่งขันทางธุรกิจ
แรงจูงใจในการทำงาน เป็นการบอกว่า "สู้แล้วรวย" ทำให้คนรู้สึกว่าต้องทำงานหนักเพื่อหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การยอมรับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรม เพราะในบางครั้ง วัฒนธรรมนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้คนยอมรับสภาพการทำงานที่หนักเกินไป หรือได้รับค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าเป็นการฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็ง
ความรับผิดชอบส่วนบุคคล เป็นการเน้นย้ำความรับผิดชอบส่วนบุคคล ทำให้สังคมคาดหวังว่าแต่ละคนจะต้องดูแลตัวเอง และลดบทบาทของรัฐในการดูแลประชาชน
การต่อต้านนโยบายสวัสดิการ กลายเป็นวัฒนธรรมนี้มักจะถูกนำมาใช้เพื่อต่อต้านนโยบายสวัสดิการต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นการส่งเสริมความเกียจคร้านและเป็นการแบ่งปันทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม
กระนั้นเรื่องสู้แล้วรวยล้วนมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการสร้างวัฒนธรรมดังกล่าวด้วย ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม วัฒนธรรม "สู้แล้วรวย" มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทยที่เน้นความอดทน ความเพียร และการเคารพผู้ใหญ่ หรือการเมือง ยังสร้างวัฒนธรรม สู้แล้วรวย ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายต่างๆ เช่นนโยบายประชานิยม ที่ส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรคการเมือง
จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรม "สู้แล้วรวย" นั้นมีความซับซ้อนและมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในขณะที่มันสามารถเป็นแรงจูงใจให้คนพยายามพัฒนาตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความเหลื่อมล้ำและลดทอนบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาสังคม
อ้างอิง
คณะก้าวหน้า / The101.world / มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ /
ข่าวที่เกี่ยวข้อง