SHORT CUT
เปิดตำนานภูเขา Yotei จากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอนุ สู่ฉากในเกม Ghost of Yotei สะท้อน Soft Power ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
Ghost of Yotei เปิดตัวมาในช่วงที่ Assassin's Creed Shadows โดนถล่มยับจากแฟนๆ เพราะทำบท Woke ที่เอาตัวละครชาวผิวสีตัวใหญ่มาไล่ตบชาวญี่ปุ่นตัวเล็กกว่า
ทำให้แฟนๆ ถล่มยับว่า Woke เกินไปที่มีคนผิวสีได้เป็นซามูไรอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคโบราณ หรือบางคนก็วิจารณ์ว่าเป็นการด้อยค่าประเทศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเพราะเอาคนต่างชาติที่ถูกสร้างภาพลักษณ์ว่าแกร่งเกินไป ไล่ตบชาวลูกพระอาทิตย์
ล่าสุด Ghost of Yotei เปิดตัวมาโดยมีตรีมเรื่องอยู่ในยุคเอโดะตรงกับยุคโชกุนตระกูลโตกุกาวะเรืองอำนาจ ขณะเดียวกันสถานที่ที่จำลองให้เป็นฉากของเกมคือบริเวณภูเขา Yotei ซึ่งมีอยู่จริง แต่อยู่บริเวณฮอกไกโด ของประเทศญี่ปุ่น
ภูเขานี้มีตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอนุ หรือประตูสู่โลกวิญญาณ หรือในปัจจุบันถูกขนานนามว่าภูเขาไฟฟูจิแห่งฮอกไกโด
ต้องบอกก่อนว่าในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีแต่ชาวญี่ปุ่นอย่างเดียว แต่มีชาวไอนุซึ่งเป็นคนพื้นเมืองอาศัยอยู่ด้วย พวกเขาคือคนชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น เกาะซาฮาลิน และหมู่เกาะคุริล พวกเขามีวัฒนธรรมและภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน
พวกเขามีวัฒนธรรมที่ผูกพันกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณสถิตอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว รวมถึงภูเขา แม่น้ำ และสัตว์ต่างๆ พวกเขามีพิธีกรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เช่น การร่ายรำ การเล่นดนตรี และการแกะสลัก หนึ่งในสถานที่สำคัญของพวกเขาคือภูเขา Yotei ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสถานที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งวิญญาณ
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชาวไอนุอาศัยอยู่ในพื้นที่ฮอกไกโดและบริเวณใกล้เคียงมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บของป่า
ต่อมาในยุคสมัยโจมง ชาวไอนุได้พัฒนาวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากขึ้น
และในยุคสมัยเอโดะ ชาวญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ฮอกไกโดมากขึ้น ทำให้ชาวไอนุต้องเผชิญกับการกดขี่และถูกกลืนวัฒนธรรม
ซึ่งในเกม Ghost of Yotei น่าจะเผยเรื่องราวของการกดขี่ชาวไอนุ โดยมีตัวเอกเป็นชาวไอนุที่ลุกขึ้นสู้นั่นเอง
ในยุคปัจจุบันชาวไอนุยังคงอาศัยอยู่ในฮอกไกโด แต่จำนวนประชากรลดลงอย่างมาก และวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ค่อยๆ เลือนหายไป รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไอนุ และมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และสวนวัฒนธรรมไอนุเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชนเผ่านี้
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ประเทศญี่ปุ่นรับอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา ภูเขา Yotei จากพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ในยุคเมจิ ปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเปิดรับวัฒนธรรมโลกตะวันตก งานอดิเรกแบบตะวันตก เช่น การปีนเขาเริ่มได้รับความนิยม ภูเขา Yotei เริ่มดึงดูดนักผจญภัยที่ชื่นชอบความท้าทาย จนถึงทุกวันนี้เป็นสถานที่เดินป่ายอดนิยมในช่วงฤดูร้อน และในฤดูหนาว
ภูเขา Yotei กลายเป็นสถานที่โปรดของผู้ชื่นชอบกีฬาฤดูหนาว ทางลาดของภูเขาไฟมีสภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด โดยพื้นที่จะมีหิมะตกหนัก ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของสภาพอากาศในฤดูหนาวของฮอกไกโด และที่นิเซโกะที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสกีรีสอร์ตชั้นนำของญี่ปุ่นนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขา Yotei ได้ดีเลยทีเดียว
ภูเขา Yotei เองได้ถูกขนานนามว่า ฟูจิแห่งฮอกไกโดอีกด้วย
ภูเขา Yotei มีเรื่องราวมาตั้งแต่สมัยอดีตและอยู่ควบคู่กับชาวญี่ปุ่นและชาวไอนุมาถึงปัจจุบัน แน่นอนว่ามีตำนานมากมายที่สามารถเล่าเป็นเรื่องราวไม่รู้จัก
ผู้พัฒนาเกม Sucker Punch Productions เล็งเห็นว่าเรื่องดังกล่าวสามารถนำมาทำเป็นเกมบอกเล่าตำนานการลุกขึ้นสู้ของชาวไอนุในวันที่ถูกรัฐบาลกลางเอโดะกดขี่ บอกเล่าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบริเวณฮอกไกโดที่เป็นชายแดนปลายอำนาจของโชกุนตระกูลโตกุกาวะ โดยมีภูเขา Yotei เป็นฉากหลังของท้องเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
ต้องรอติดตามว่าในปี 2025 ตำนานจะถูกเล่าขานผ่านเกมอย่างไร เพราะเกมภาคที่แล้วอย่าง Ghost of Tsushima ก็ได้สร้างความประทับใจให้ทั่วโลก
นี่คือการนำเกมมาสร้าง Soft Power ได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้คนได้รู้จักญี่ปุ่น และอยากไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น สะท้อนคุณค่าของการบอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นที่ไม่ได้ผ่านการท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่ยังผ่านภาพยนตร์รวมถึงเกม ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักญี่ปุ่นและสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ
อ้างอิง
PlayStation / Mount Yōtei / BBC /
ข่าวที่เกี่ยวข้อง