svasdssvasds

ลาก่อนมนุษย์ป้า วิจัยเผยคนรุ่นใหม่ 56% ยอมลาออก หากทำงานแล้วเสียสุขภาพจิต

ลาก่อนมนุษย์ป้า วิจัยเผยคนรุ่นใหม่ 56% ยอมลาออก หากทำงานแล้วเสียสุขภาพจิต

ลาก่อนมนุษย์ป้าในที่ทำงาน วิจัยเผยคนรุ่นใหม่ 56% ยอมลาออก หากทำงานแล้วเสียสุขภาพจิต องค์กรไหนอยากได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงทำงานต้องรีบปรับตัวแล้ว

SHORT CUT

  • วิจัยเผยคนรุ่นใหม่ 56% ยอมลาออก หากทำงานแล้วเสียสุขภาพจิต
  • จากข้อมูลงานวิจัยพบว่า พนักงานรุ่นใหม่เหล่านี้พร้อมจะ “ลาออก” หรือแม้กระทั่ง “ว่างงาน” หากต้องทนทำงานที่ไม่มีความสุข
  • องค์กรยุคใหม่จึงต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การเสนอเงินเดือนสูงๆ หรือผลประโยชน์ที่น่าสนใจ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้าง “ความสุขในการทำงาน”

ลาก่อนมนุษย์ป้าในที่ทำงาน วิจัยเผยคนรุ่นใหม่ 56% ยอมลาออก หากทำงานแล้วเสียสุขภาพจิต องค์กรไหนอยากได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงทำงานต้องรีบปรับตัวแล้ว

ยุคสมัยเปลี่ยนไป ค่านิยมในการทำงานก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ Gen Z และ Millennials ที่ไม่ได้มองว่า “งาน” คือความมั่นคงสูงสุดในชีวิตอีกต่อไป จากข้อมูลงานวิจัยพบว่า พนักงานรุ่นใหม่เหล่านี้พร้อมจะ “ลาออก” หรือแม้กระทั่ง “ว่างงาน” หากต้องทนทำงานที่ไม่มีความสุข และไม่ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิต12 บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อชีวิตการทำงาน และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลาออกจากงาน

“ลาออกดีกว่าทนทุกข์” เมื่อความสุขสำคัญกว่าเงินเดือน

ผลสำรวจ Randstad Workmonitor ปี 2022 ซึ่งเก็บข้อมูลจากพนักงาน 35,000 คน ใน 34 ตลาดทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ “ความสุขในการทำงาน” มากกว่าคนรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด โดย 56% ของ Gen Z (อายุ 18-24 ปี) ยอมลาออกจากงานที่ทำให้ไม่มีความสุข และ 40% ยอมตกงานดีกว่าทนทำงานที่ไม่ชอบ34 สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ที่พบว่า การทำงานที่ไม่ดีส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตเทียบเท่ากับการว่างงาน4

5 ปัจจัยหลัก ไขความลับมัดใจ Gen Z & Millennials

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรือสวัสดิการเพียงอย่างเดียวที่คนรุ่นใหม่มองหา แต่พวกเขายังให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ ในการทำงานร่วมด้วย โดยสรุปได้ดังนี้5:

1. ไลฟ์สไตล์และความสุข (Lifestyle & Wellbeing): คนรุ่นใหม่ต้องการ “ประสบการณ์การทำงานที่เติมเต็มชีวิต” มองหางานที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัว และเปิดโอกาสให้สามารถจัดสรรเวลาชีวิตได้อย่างสมดุล5

2. ค่านิยมที่ตรงกัน (Shared Values): 43% ของคนรุ่นใหม่จะไม่ทำงานกับองค์กรที่มีค่านิยมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่สอดคล้องกับตนเอง โดยเฉพาะประเด็นความหลากลัยและความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญ5

3. การเพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน (Employee Empowerment): นอกเหนือจากเงินเดือนและผลตอบแทนที่เหมาะสม คนรุ่นใหม่ยังมองหาโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ การเติบโตในสายอาชีพ และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากองค์กร5

4. ความยืดหยุ่นของงาน (Flexibility): อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน ทั้งในเรื่องของสถานที่และเวลา ซึ่งคนรุ่นใหม่มองว่าจะช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างลงตัว5

5. การพัฒนาตนเองและการพัฒนาทางวิชาชีพ (Learning & Development): 80% ต้องการเข้าร่วมโปรแกรมการเรียนรู้และพัฒนา เพื่อเพิ่มพูนทักษะและความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ5

ปรับตัวเพื่ออยู่รอด องค์กรต้องไม่หยุดพัฒนา

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรยุคใหม่ต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การเสนอเงินเดือนสูงๆ หรือผลประโยชน์ที่น่าสนใจ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้าง “ความสุขในการทำงาน” และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของพนักงาน เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่การแข่งขันด้านแรงงานสูงเช่นนี้

อ้างอิง

ถนัดกิจ จันกิเสน /  Chonticha.m  /

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related