SHORT CUT
อดีตผู้ฝูง F-16 หวัง ทอ. ใช้โอกาส ซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ ปลดแอกระบบสั่งการ และพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทย ได้โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวของตนเองเกี่ยวกับ นโยบายชดเชยและข้อเสนอการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง จากล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ตอนสุดท้าย
โดยก่อนหน้านี้ น.อ.อนุดิษฐ์ได้นำเสนอ ข้อเสนอของบริษัท Lockheed Martin ไปแล้ว 3 ข้อ และฝากข้อแนะนำต่างๆให้กับผู้มีอำนาจว่า ควรให้ผู้เสนอคือ Lockheed Martin ช่วยระบุรายละเอียดต่างๆลงไปในข้อเสนอเพื่อให้มีรายละเอียดเพียงพอที่กรรมการจัดซื้อไปจนถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลสามารถใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะเลือกซื้อเครื่องบินจากบริษัทไหนและด้วยเหตุผลอะไร โดยในครั้งนี้จะนำเสนออีก 4 ข้อที่เหลือ พร้อมกับข้อเสนอแนะ
ข้อที่ 4 บริษัท Lockheed Martin เสนอให้มีการยกระดับมาตรฐานการรับ - ส่งข้อมูล (Advanced datalink upgrade) ระหว่าง F-16 Block 70/72 ที่จะซื้อใหม่ กับ F-16 AM/BM eMLU และรุ่นย่อยอื่น ๆ ของกองทัพอากาศไทยที่มีอยู่เดิม
เขามองว่าเป็นข้อเสนอแนะที่ดี แต่ก็อาจจะยังไม่ดีพอ เพราะในปัจจุบัน TDL (Tactical Datalink) สำหรับ F-16 จะแบ่งเป็น Link 16 ที่จะมาพร้อมกับ package ของการจัดซื้อ F-16 Block 70/72 ซึ่งหากจะรับ-ส่งข้อมูลกับ F-16 ที่ ทอ.มีใช้อยู่แล้ว ก็เชื่อว่าอยู่ในวิสัยที่บริษัทฯเสนอได้อย่างแน่นอน แต่ที่ยังไม่ทราบก็คือ สหรัฐอเมริกา จะให้เราใช้ Link 16 โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือไม่ เพราะเดิมหาก ทอ.จะใช้ Link 16 ก็ต้องจ่ายค่าใช้ Link เป็นจำนวนหลายพันล้านบาท ซึ่งผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Link มาตรฐาน NATO เพราะเราไม่ได้รบกับใคร และคงไม่ได้ส่งเครื่องบินรบของเราไปสนับสนุนการรบในสมรภูมินอกประเทศ เหมือนกับประเทศในเครือ NATO อื่นๆที่อาจมีความจำเป็น
แต่ที่อยากได้มากกว่า และถ้า Lockheed Martin เสนอมาจริงก็น่าเชียร์ นั่นก็คือ การได้รับอนุญาต (export license) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สำหรับการให้ความช่วยเหลือในการติดตั้ง National Datalink (Link TH) ของไทย บนเครื่อง F-16 ปัจจุบันที่กองทัพอากาศมีใช้งานอยู่ รวมถึงการช่วยเหลือให้อุตสาหกรรมไทยสามารถสร้างระบบ Air Command and Control (ACCS) ที่เป็นของตนเอง โดยใช้ TDL Gateway เป็นตัวเชื่อมการปฏิบัติงานระหว่าง F-16 Block 70/72 (Link 16) กับ National Datalink (Link TH)
"ที่ผ่านมา ผมทราบจากอดีตผู้บังคับบัญชาของผม (เกษียณ ยศ พล.อ.อ. และ อยู่ในโครงการจัดหาเครื่องกริพเพนฝูงแรก)ว่า ในปัจจุบัน ทอ.ยังต้องพึ่งพาบริษัทต่างชาติ และบริษัทต่างชาติก็ได้แจ้ง ทอ. เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนแล้วว่า ทอ. ไม่มีสิทธิ์ในระบบ TDL ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบินรบของเขา และไม่มีสิทธิ์ในระบบ ACCS ของ ทอ.ที่พัฒนาร่วมกันมา โดยการปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมการบูรณาการร่วมกับระบบ หรือ platform อื่นๆ จะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลต่างชาติ และต้องจ้างงานแก่ บริษัทต่างชาติ เท่านั้น ฟังแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ ถ้าระบบ ACCS ของไทยยังไม่มีอธิปไตย และต้องไปขออนุญาตจากรัฐบาลต่างชาติ จะพัฒนาต่อยอดอะไรก็ไม่มีอิสระ ทั้งๆที่เป็นระบบหลักของ Network Centric Operation ตามหลักนิยมของ ทอ. แต่ก็สบายใจขึ้นมาบ้างว่า โครงการจ้างปรับปรุงโครงสร้างอากาศยานและระบบ Avionics รวมทั้งระบบอาวุธของ Alpha Jet หรือ บจ.7 โครงการจัดซื้อเครื่องบินฝึกทดแทน บ.ฝ.๑๙ ที่ ทอ.เลือกแบบเป็นเครื่องบินฝึก T-6 และ การจัดหาเครื่องบินโจมตีเบา (AT-6) ของ ทอ. ทั้ง 3 โครงการประสบความสำเร็จในการดำเนินการขออนุญาต (Export License) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา"
สำหรับการได้รับ Software Source Code เพื่อสามารถพัฒนาต่อยอด ปรับปรุง ดัดแปลง เพิ่มเติมการบูรณาการระบบร่วมกับระบบอื่นๆ ได้เอง และมีระบบ System Integration Lab ตั้งอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องกลับไปพึ่งพาบริษัทผู้ผลิตจากต่างประเทศ หรือขออนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอีก ทำให้ ทอ.มีความเป็นอิสระในการที่จะพัฒนาระบบ National Tactical Datalink ที่เป็นของตนเองได้
"ย้ำอีกครั้ง! ข้อนี้สำคัญนะครับ ถือเป็นลายแทงที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครจะขาย F-16 หรือ ใครจะขาย กริพเพน ถ้าเสนอนโยบายชดเชยข้อนี้มา ถือเป็นการปลดแอกออกจากบ่าของ ทอ.ในทันที หรือ เครื่องบินรุ่น 4.5 จากบริษัทอื่นๆที่สนใจเข้าแข่งขัน เสนอออฟชั่นนี้มา ผมเชื่อว่ามีโอกาสคะแนนนำคนอื่นอย่างแน่นอน และ ระบบ ACCS ของไทย จะได้เป็น “ไท” เสียที คนไทยทั้งประเทศรอ เชียร์ เชียร์ และ เชียร์ ครับ"
ข้อที่ 5 Lockheed Martin เสนอให้มี การฝึกอบรมการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่ (Fighter Maintenance Training) เพิ่มเติมสำหรับ ทอ. ซึ่งเขาเห็นว่าคงไม่ต่างกับบริษัทอื่นๆ เพราะการฝึกอบรมการบำรุงรักษาเครื่องบิน เป็นสิ่งปกติที่จะต้องมีให้ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทุกชนิดอยู่แล้ว
ข้อ 6 Lockheed Martin เสนอความเป็นไปได้ในการให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain opportunities) ในการผลิตชิ้นส่วนให้กับ Lockheed Martin
เขากล่าวว่า การให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในการผลิตชิ้นส่วนให้กับ Lockheed Martin นั้น จะชัดเจนก็ต่อเมื่อมีการแสดงรายละเอียดในสัญญาจัดซื้อเครื่องบินครับ โดยในสัญญาต้องระบุให้เกิดการจ้างงานการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในประเทศไทยในปริมาณหรือมูลค่าที่ตกลงร่วมกัน ควบคู่ไปกับการอบรมบุคลากรระหว่างปฏิบัติงาน (On the Job Training) จึงจะเห็นผลและจับต้องได้จริง และผลงานการผลิตชิ้นส่วนดังกล่าว จะต้องเป็นหนึ่งในหัวข้อการตรวจรับงวดงานด้วย
ข้อที่ 7 บริษัทเสนอเรื่อง การยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Sustainment Capabilities) สำหรับประเทศไทย
เขาให้ความเห็นว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องมีความชัดเจน โดยมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้จริง ที่ผ่านมา ทอ.ได้จัดซื้อเครื่องบินรบ โดยมีสัญญาเรื่องความเป็นอิสระด้าน Software Core Avionics หรือ Operational Flight Program (OFP) แต่บริษัทที่ขาย ก็ไม่เคยให้ความเป็นอิสระของระบบ TDL และ ACCS โดยอ้างว่าจะต้องขออนุญาตรัฐบาลตัวเองเพื่ออนุมัติก่อนทุกครั้ง การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ยั่งยืน และไม่เคยมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง พึ่งจะมีการจัดซื้อเครื่อง AT-6 ล่าสุดนี่แหละครับ ที่มีหลักฐานระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน และ ทอ.มีอิสระในการพัฒนาระบบต่อไปโดยไม่ต้องไปขออนุญาตใครหน้าไหนอีกแล้ว
"ข้อเสนอทั้งหมด เป็นเพียงการแถลงการณ์จากฝั่งผู้ผลิตอย่าง Lockheed Martin เท่านั้น ในขณะที่ ทอ. ยังไม่ได้มีการแถลงข่าวถึงกรณีนี้เพิ่มเติม และยังไม่มีการนำข้อเสนอของบริษัท SAAB มาเปิดเผยแต่อย่างใด แต่ผมเชื่อว่าเดี๋ยว ทอ. ก็คงนำมาเปิดเผยครับ เพราะ ผบ.ทอ.ท่านนี้ ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา สุดท้ายแล้ว ทอ.จะเลือกเครื่องบินรบฝูงใหม่จากบริษัทไหน คงมีการชี้แจงข้อเสนอของทุกฝ่ายและให้คะแนนกันอย่างโปร่งใสแน่นอน"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง