บะหมี่เกาหลีเผ็ดเกิน ‘เดนมาร์ก’ ประเทศที่มี ‘อาหารเผ็ด’ น้อยที่สุดในโลก!

เรื่อง “ความเผ็ด” กลายเป็นประเด็น หลังจากเมื่อวานนี้ (12 ก.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการเดนมาร์กมีการเรียกคืนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ของเกาหลีใต้ 3 สูตร ที่ขายอยู่บนชั้นวางสินค้าทั้งหมด เนื่องจากมีรสเผ็ดเกินไป ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้

เมื่อข่าวเผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง บ้างก็แซวว่า “คนเดนมาร์กกินเผ็ดแทบไม่ได้ แค่พริกเม็ดเดียวก็แย่แล้ว” แต่บ้างก็บอกว่ามาม่าแบรนด์ดังกล่าวเผ็ดจริงจนกินแทบไม่ได้

ทั้งนี้ เรื่องมาม่าแบรนด์ดังกล่าวจะเผ็ดขนาดไหน ก็คงขึ้นอยู่กับต่อมรับความเผ็ดแต่ละคน แต่หากมองย้อนดูประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอาหารของเดนมาร์ก จะพบว่าประเด็นนี้มีมุมอื่นที่น่าสนใจเหมือนกัน เพราะเดนมาร์ก ถือเป็นประเทศที่มี “อาหารเผ็ด” น้อยที่สุดในโลก และจากการสำรวจของ “Taste Atlas” เว็บไซต์รีวิวอาหาร พบว่าอาหารเดนมาร์กมีคะแนนความเผ็ดเฉลี่ยอยู่ที่ 0.22 Scoville Heat Units (SHU) ซึ่งถือว่าเผ็ดน้อยแบบต่ำเตี้ย นั่นจึงทำให้คนเดนมาร์กไม่คุ้นเคยกับความเผ็ดเหมือนกับประเทศอื่น

ทำไม ‘เดนมาร์ก’ ถึงเป็นประเทศที่มี ‘อาหารเผ็ด’ น้อยที่สุดในโลก?

พริกเป็นหนึ่งในเครื่องเทศที่นิยมบริโภคมากที่สุดทั่วโลก และมีการปลูกในกว่า 150 ประเทศ ทว่าถึงพริกจะมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอาหารของหลายประเทศแค่ไหน แต่ในเดนมาร์กกลับไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในอดีต สมัยที่ชาวยุโรปยังไม่รู้จักพริก จนกระทั่งศตวรรษที่ 16 เมื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไปยังทวีปอเมริกา เขาและลูกเรือของเขานำพริกกลับมาสเปน จากนั้นพริกก็แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของยุโรป การอพยพ และการล่าอาณานิคม

ทั้งนี้ พริกเป็นเครื่องเทศชั้นดีในการปรุงอาหารของชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ แต่ถึงจะเป็นของที่หลายประเทศในยุโรปชื่นชอบขนาดไหน ทว่าชาวเดนมาร์กในตอนนั้นยังไม่สนใจเท่าที่ควร แต่กลับนำเข้าแต่มันฝรั่งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ เพราะปลูกง่าย เติบโตได้ดีใน อากาศเย็น และเก็บรักษาได้นาน ซึ่งจำเป็นต่อการเอาตัวรอดในฤดูหนาว

ชาวเดนมาร์กจึงนิยมนำเข้ามันฝรั่งมาตลอด แต่ไม่ได้นำเข้าอาหารพื้นเมืองที่มีส่วนผสมของพริกเท่าไหร่นัก ทำให้มันฝรั่งเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารหลายอย่างในเดนมาร์ก เห็นได้จากวันรัฐธรรมนูญของเดนมาร์ก (5 มิ.ย.) ที่จะมีการเฉลิมฉลองด้วยเมนู ‘แซนด์วิชมันฝรั่ง’ หรือ ‘มันฝรั่งต้มเย็น’ ในหลายพื้นที่

มันฝรั่งและพริกเคยโดนคนเดนมาร์ก เมินมาก่อน

ถึงแม้มันฝรั่งจะได้รับความนิยม แต่มันก็เคยถูกเกลียดมาก่อน เช่นเดียวกับพริก ซึ่งเป็นพืชที่อยู่ในตระกูล “โซลานาซีอี (Solanaceae)” เหมือนกัน ซึ่งทั้ง 2 วัตถุดิบปรุงอาหารนี้ที่โดนชาวเดนมาร์กมองว่าเป็นแค่อาหารสำหรับสัตว์ หรือคนยากจนเท่านั้น และถูกมองข้ามมาหลายศตวรรษ

จนกระทั่งปลายทศวรรษที่ 1780 เจ้าของที่ดินชาวเดนมาร์กผู้มั่งคั่งคนหนึ่งชื่อ เบิร์นสทอร์ฟ “Bernstorff” ได้ลองโยนมันฝรั่งลงในกองไฟ แล้วจึงเอากลับมากินโดยที่ไม่ตาย หลังจากนั้นมันฝรั่งจึงกลายเป็นอาหารหลักในประวัติศาสตร์เดนมาร์กมาตลอดกว่า 200 ปี จนถึงวันนี้

พริกเริ่มนิยมในเดนมาร์ก

หากปลายทศวรรษที่ 1780 คือช่วงเวลาที่ชาวเดนมาร์กเปิดใจให้มันฝรั่ง ช่วงต้นทศวรรษที่ 20 ก็คือช่วงที่ ชาวเดนมาร์กเริ่มเปิดใจให้กับพริก

โดยผู้บุกเบิกที่มีชื่อเสียงคือ “คลอส์ พิลการ์ด (Claus Pilgaard)” นักดนตรีชาวเดนมาร์กคนหนึ่ง ที่ปกติก็กินอาหารแบบเดนมาร์กทั่วไปคือ เนื้อวัวและมันฝรั่ง แต่เมื่อเขามีโอกาสไปกินอาหารอินเดียที่อังกฤษ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับสิ่งที่เรีกยว่า “เผ็ด” และเสพติดมันทันที

และเมื่อพิลการ์ด กลับมายังเดนมาร์ก จึงประหลาดใจมากที่คนในบ้านเกิดแทบไม่กินพริกกันเลย เขาจึงซื้อเมล็ดพริกทางอินเทอร์เน็ต และตื่นเต้นมากที่พริก หลายสี รูปร่าง รสชาติ และความเผ็ดที่แตกต่างกัน แถมไม่ได้ปลูกยากอย่างที่คิด

ในปี 2013 พิลการ์ด เปิดช่องยูทูบชื่อ Chili Klaus เพื่อแบ่งปันความรู้เรื่องพริกให้ชาวเดนมาร์กคนอื่นๆ และในช่วง 11 ปี คอนเทนต์เกี่ยวกับพริกของเขามีผู้ชมรวมกันหลายล้านครั้ง โดยเฉพาะคลิปโชว์กินพริกที่มีกระแสตอบรับดีเป็นพิเศษ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้คนเดนมาร์หันมาสนใจอาหารรสชาติเผ็ดมากขึ้น จนมีคนรุ่นใหม่หลายคนบุกไปลองกินเผ็ดตามร้านอาหารต่างชาติมากขึ้น

พิลการ์ดเคยกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของพริกเอาไว้ว่า พริกเป็นอาหารที่น่าตื่นเต้น เพราะมันลงไปในอาหารได้เกือบทุกจาน แถมยังหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย”

คนเดนมาร์กไม่เน้นอาหารรสจัดจ้าน

อย่างไรก็ดีไม่สามารถกล่าวได้ว่า พิลการ์ด เป็นผู้ที่ทำให้ชาวเดนมาร์กจำนวนมาก หันมากินพริกได้สำเร็จ แต่เขาเป็นแค่หนึ่งในคนดังที่ทำให้เกิดการรับรู้ในเรื่องนี้ได้ด้วยโซเชียลมีเดีย

ส่วนเหตุผลที่ปัจจุบันนี้คนเดนมาร์กหันมากินเผ็ดมากขึ้น เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่นความอนุรักษนิยมที่ลดลง การค้าขายกับเอเชีย การรับผู้อพยพจากเอเชีย และการที่คนเดนมาร์กท่องเที่ยวไปทั่วโลก ก็ล้วนทำให้คนเดนมาร์กรู้จักความเผ็ดมากขึ้น และในปัจจุบันในเดนมาร์ก มีร้านอาหารไทย อาหารจีน อาหารอินเดีย และอาหารเม็กซิกันเปิดให้บริการมากมาย

แต่อย่างไรก็ตาม ชาวเดนมาร์กก็ถือว่ายังกินเผ็ดน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งสาเหตุหลักอาจเป็นเพราะ วัตถุดิบที่ใช้ในอาหารเดนมาร์กส่วนใหญ่เน้นความเรียบง่าย และถ้าให้ดีต้องผลิตในท้องถิ่น เช่นขนมปัง มันฝรั่ง หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่มีการปรุงแต่งรสชาติจัดจ้าน การเติมพริกลงไปในอาหารจึงไม่แพร่หลายเท่าไหร่นัก

ถึงตรงนี้ จึงสรุปได้ว่า การที่ หน่วยงานด้านอาหารของเดนมาร์กได้ประกาศเรียกคืนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เผ็ดมาของเกาหลีนั้น อาจไม่ใช่เรื่องแปลก หรือน่าขบขัน เพราะ 3 รสชาติที่เรียกคืนได้แก่ บูลดัก สไปซี่แอนด์ฮอต ชิคเก้น เผ็ดคูณสาม (Buldak 3x Spicy & Hot Chicken) , รสเผ็ดคูณสอง (2x Spicy & Hot Chicken) และสตูว์ไก่รสเผ็ด (Hot Chicken Stew) ที่ล้วนมีความเผ็ดมากๆ ในแบบที่ชาวสแกนดิเนเวียไม่คุ้นเคย

ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยงานของเดนมาร์ก ยัง สารแคปไซซิน (Capsaicin) ต่อบะหมี่สำเร็จรูป 1 ห่อ ซึ่งสูงมากจนมีความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่ซื้อบะหมี่ดังกล่าวจะเลือกทิ้ง หรือนำไปคืนที่ร้านค้าก็ได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

• รัฐสวัสดิการสวีเดน ดูแล "คนโสด" อย่างดี จนไม่จำเป็นต้องมี "คู่ชีวิต" ก็ได้ 
• ประเทศ "อันตราย-ปลอดภัย" ที่สุดในโลกในการท่องเที่ยว ปี 2024 
• โลกร้อนทำแฮตทริก อุณหภูมิสูงขึ้น อากาศร้อนสุดติดกัน 3 เดือนรวด มิ.ย - ส.ค.