พามาฟังความเห็นจากนักวิชาการ ที่มอง "เศรษฐกิจไทย" ปี2567 เป็นอย่างไร? กับ 3 ปัจจัยลบเศรษฐกิจไทยปี’67 หนี้ครัวเรือนยังพุ่ง แถมเอลนีโญรุมเร้า !
เศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันต้องเผชิญกับสถานการณ์สงคราม และตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ และเกิดผลกระทบต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดคำถามว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเป็นอย่างไร
วันนี้พามาฟังจากปาก “ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์” นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) และประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่อาจฉุดเศรษฐกิจให้ยังคงชะลอตัว 3 ประการ ดังนี้
1) ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมีแนวโน้มต่ำกว่าปกติและอุณหภูมิของอากาศจะสูงกว่าปกติในปี 2567 และอาจก่อให้เกิดความแห้งแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคการเกษตรของไทยที่อาจมีปริมาณผลผลิตที่ลดลง ส่งผลให้ระดับราคาอาหารเพิ่มขึ้น สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้น และอาจกระทบต่อการส่งออกของประเทศ เนื่องจากสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นกลุ่มสินค้าหลักของการส่งออกไปต่างประเทศ
2) กับดักหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น เป็นปัจจัยที่อาจบั่นทอนให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงในปี 2567 ทั้งนี้ไตรมาส 1 ปี 2566 ไทยมีหนี้ในระบบสูงถึง 16 ล้านล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 90.7 ของจีดีพี อีกทั้งมีหนี้นอกระบบอีก 5 หมื่นล้านบาท และ 2 ใน 3 ของบัญชีหนี้ครัวเรือนไทยเป็นสินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้ ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น เป็นกับดักที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 โตได้ไม่เต็มที่
3) ความเปราะบางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอล – ฮามาส และรัสเซีย – ยูเครน ที่ยืดเยื้อและอาจบานปลาย จะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาพลังงานโลกสูงขึ้น อีกทั้งความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีน นับเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดการชะลอตัวของการลงทุนระหว่างประเทศ การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานโลก และการผลิตของโลกไม่เติบโต ภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามและรุนแรงขึ้น
จากการประเมินปัจจัยบวกและความเสี่ยงที่กล่าวมา ผมจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ซึ่งหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนควรมีมาตรการในการเตรียมพร้อมสำหรับปีงูใหญ่ 5 ประการ ดังนี้
1.ป้องกันความเสี่ยงในภาคการผลิต ภาวะสงครามจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรปและตะวันออกกลาง และสร้างอุปสรรคต่อการการเดินเรือสินค้าผ่านคลองสุเอช ภาคการผลิตจึงควรกระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน และการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ
ขณะที่เอลนีโญจะทำให้เกิดความแห้งแล้งและขาดแคลนน้ำ ภาคการเกษตรควรเฝ้าระวังและจัดเตรียมแหล่งน้ำสำรอง ส่วนภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การเตรียมความพร้อมในพื้นที่เฝ้าระวังการขาดน้ำ และกำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูก เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น
2) แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบเบ็ดเสร็จ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนควรทำอย่างครบวงจร และแก้อย่างยั่งยืน ทั้งการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง การลดรายจ่าย และประการสำคัญคือการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น การพัฒนาความรู้ด้านการเงิน การเร่งพัฒนาทักษะและเพิ่มทักษะใหม่ของแรงงาน การเร่งการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างงานในประเทศ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่สอดคล้องกับค่าครองชีพในแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการออม เป็นต้น
3) กระจายตลาดส่งออก ภาครัฐควรสนับสนุนให้ภาคเอกชนกระจายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ในหลายภูมิภาค เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการส่งออก โดยการช่วยเจรจาเปิดตลาดใหม่ ๆ และเร่งทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับประเทศหรือกลุ่มประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทย ช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มการส่งออกของประเทศ
4) สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ภัยคุมจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้ราคาพลังงานโลกผันผวน ภาครัฐควรทำการทูตพลังงาน โดยเจรจากับประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน เพื่อแลกเปลี่ยนความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางพลังงาน การกระจายการพึ่งพาพลังงานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนสำรวจแหล่งพลังงานในต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว
และ 5) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายหลายประการ ทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น ภาครัฐจึงควรมีมาตรการช่วยเหลือให้เกิดการปรับโครงสร้างและกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งอาจใช้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในการนำเข้าเทคโนโลยี เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ รวมทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต ไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งการวิจัยและพัฒนา การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการตลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เศรษฐกิจไทยปี’67 เป็นอย่างไร? รวมคำทำนาย "เศรษฐกิจไทย" แต่ละโพลคาดไว้ !
เศรษฐกิจไทย บนความเสี่ยง เอลนีโญ อาหารแพง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือนพุ่ง !