หมอเฉลิมชัยเผยผลวิจัย โอไมครอน BA.2 พบก่อโรครุนแรงกระจายได้ดีในโพรงจมูก และทำสมรรถภาพปอดแย่ลง ทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลมากขึ้น
โควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน BA.2 มีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่ที่พบยังเป็นสายพันธุ์ย่อย BA.1 ในเดือนกุมภาพันธ์นี้มีแนวโน้มที่พบ สายพันธุ์ BA.2 เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด สายพันธุ์ BA.2 ไม่ได้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่จะติดต่อง่ายขึ้นกว่าสายพันธุ์ BA.1 และจะเป็นเหตุ ให้การแพร่กระจายของโรคได้มากขึ้น
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ Blockdit "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" เกี่ยวกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยที่ตัวใหม่ที่กำลังถูกจับตามองของทั่วโลก โดย ระบุว่า
ล่าสุด ญี่ปุ่นพบว่าไวรัสโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่ 2 (BA.2) ก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ย่อยที่ 1 (BA.1) ในหนูแฮมสเตอร์
นับจากมีไวรัสโอไมครอนแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยมีความสามารถในการแพร่ที่รวดเร็วกว่าไวรัสเดลตา แต่มีความรุนแรงน้อยกว่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• โควิดโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ทำความรู้จักและเช็กอาการเบื้องต้น
• หมอธีระ ชี้ โอไมครอน BA.2 ระบาดแล้ว 57 ประเทศ แพร่เชื้อไวกว่าเดิม 30%
• ทั่วโลกจับตา โอไมครอน BA.2 หวั่นติดง่ายกว่าสายพันธุ์หลัก ไทยพบ 9 ราย
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลเบื้องต้นสรุปได้ว่า
1. มีไวรัสสายพันธุ์ย่อยอยู่ 3 สายพันธุ์คือ BA.1 , BA.2 , BA.3
2. BA.1 เป็นหลัก โดยมี BA.2 เป็นลำดับที่ 2
3. BA.2 มีลักษณะเด่นคือ แพร่เร็วกว่า BA.1 มากถึง 30% ทำให้ขณะนี้แพร่ไปแล้ว 74 ประเทศ และ 47 รัฐของสหรัฐฯ
4. มีถึง 10 ประเทศ ที่มีสายพันธุ์ย่อย BA.2 เป็นสายพันธุ์หลักประกอบด้วย บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล เดนมาร์ก ฟิลิปปินส์ จีน บูรไน กวม และมอนเตรเนโก
5. BA.2 มีความสามารถในการดื้อต่อวัคซีนพอๆกับ BA.1 ทำให้ต้องฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ซึ่งจะมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ 74% (ของไทยคือ 68%)
6. BA.2 มีความสามารถในการก่อโรคที่มีอาการรุนแรงพอกันกับ สายพันธุ์ย่อย BA.1 แต่มีข้อมูลในประเทศเดนมาร์กที่พบว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นทำให้นอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น แตกต่างกับแอฟริกาใต้และอังกฤษการนอนโรงพยาบาลไม่ได้เพิ่มขึ้น
7. BA.2 มีการดื้อต่อการรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น ภูมิคุ้มกันแบบ Monoclonal Antibody
ขณะนี้มีรายงานการศึกษาโอไมครอน BA.2 ของญี่ปุ่นจากหลายสถาบัน หนึ่งในนั้นคือมหาวิทยาลัยโตเกียวได้รายงานเบื้องต้นว่า
1. BA.2 อาจจะไม่ใช่สายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน แต่ควรจะนับเป็นสายพันธุ์หลักชนิดใหม่ และใช้ชื่ออักษรกรีกลำดับใหม่ ความเห็นนี้สอดคล้องกับ Dr.D.Rhoads ซึ่งเป็นนักไวรัสวิทยาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
2. จากการศึกษาในหนูแฮมสเตอร์ พบว่าสายพันธุ์ BA.2 ก่อให้เกิดโรคที่มีอาการหนักกว่าสายพันธุ์ BA.1 ทำให้สมรรถภาพปอดแย่ลง มีการแบ่งตัวในเซลล์จมูกเร็วกว่า จึงทำให้มีความสามารถในการแพร่เชื้อที่ง่ายกว่าด้วย
อย่างไรก็ตามความรุนแรงของโรคจะมีมากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ ความร้ายแรงของไวรัสเอง และระดับภูมิคุ้มกันของมนุษย์
ถ้า BA.2 มีความร้ายแรงในมนุษย์จริงก็ไม่ได้แปลว่า จะก่อให้เกิดอาการรุนแรงมากกว่าเสมอไป เพราะขณะนี้จำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนมีเป็นจำนวนมากเกินกว่า 10,000 ล้านโดสแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อาการไม่รุนแรงมากเท่ากับความร้ายแรงของไวรัสที่เพิ่มขึ้น
มนุษย์คงจะต้องติดตามศึกษาเรื่องคุณลักษณะต่างๆของไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 ที่มีการกลายพันธุ์อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลาต่อไป
ไม่สามารถที่จะวางใจได้ว่า โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือมีความรุนแรงน้อยลง จนไม่มีผลกระทบขนาดใหญ่
เพราะถ้าไวรัสกลายพันธุ์ไปในทิศทาง ที่แพร่เชื้อเร็ว ดื้อต่อวัคซีนมาก และก่อโรครุนแรง ก็จะเกิดการระบาดขนาดใหญ่ทั่วโลก และโควิด-19 ก็จะอยู่ต่อเนื่องไปอีก ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะนานเท่าใด
แต่ก็มีโอกาสอยู่บ้างเช่นกัน ที่การ กลายพันธุ์ จะทำให้ไวรัสแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แต่สร้างความรุนแรงน้อยลง ก็จะเป็นโชคดีของมนุษยชาติ
ที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย