33 ปี พื้นที่ป่าอเมซอนหายไป ทั้งในบราซิลและป่ารอยต่ออเมซอนในอีกหลายประเทศ หลังสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง The Washington Post ได้ให้ข้อสงสัยหลังการชนะการเลือกตั้งของ Jair Bolsonaro ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของบราซิล ว่ามีอุตสากรรมปศุสัตว์ผุดขึ้นมากขึ้น แต่พื้นที่ป่าลดลง
สถานการณ์ป่าอเมซอนในประเทศบราซิลปอดหลักของโลกตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก หลังจากนักวิจัยได้ศึกษาและสังเกตการเปลี่ยนแปลงมานานหลายปี สภาพของป่ายิ่งแย่และเสื่อมโทรมลง เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า และการทุจริตที่เอื้อผลประโยชน์ให้เหล่านายทุนเพื่อกำไรของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
ในเดือนธันวาคมปี 1988 นักกรีดยางชาวบราซิลและยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ชิโก เมนเดส คาดการณ์ไว้ว่าเขาจะไม่อยู่ที่นี่จนถึงวันคริสต์มาสนี้ ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาต่อสู้เพื่อปกป้องต้นยางพารา ต่อมาเขาต้องต้อสู้เพื่อป่าอเมซอน แต่ในตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าเขาต้องต่อสู้เพื่อมวลมนุษยชาติ
เมนเดสเผยว่า เขาได้รับข้อความขู่ฆ่ามาเป็นปี พวกเขาพยายามส่งมือปืนมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านของเขาอยู่เสมอ เพราะเมนเดสต่อต้านเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์อย่างเปิดเผยและสนับสนุนสิทธิมนุษยชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำอเมซอน ชาวบราซิลต้องช่วยกันปกป้องป่าที่มีความหลากหลายทางชีวิภาพมากที่สุดในโลกเอาไว้ อย่าทำลาย และเราคือมนุษย์ เราจะทำลายพวกเราเองไม่ได้ เขากล่าว
3 วันก่อนคริสต์มาส 1988 เมนเดสถูกยิงเสียชีวิตโดยลูกชายเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์เป็นคนสังหาร เรื่องนี้กลายเป็นข่าวช็อกโลกอยู่พักหนึ่ง จนหลังจากสภาคนกรีดยางแห่งชาติทราบเรื่องการลอบสังหารก็ได้รับข้อร้องเรียนให้ปกป้องรักษาป่าอเมซอน เพื่ออัตลักษณ์ความเป็นชาติบราซิลและคุณค่าของเราชาวบราซิลเองเราจะเป็นพันธมิตรต่อกัน
“เราจะรวบรวมชาวอินเดียน ชาวคนกรีดยาง และชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ มาช่วยกันปกป้องผืนป่าและบ้านของสิ่งมีชีวิตอันกว้างใหญ่แต่เปราะบางแห่งนี้ ทั้งแม่น้ำ ป่าไม้ ทะเลสาบและน้ำพุ ทั้งหมดนี้เป็นแหล่งความมั่งคั่งของเรา และรากฐานของวัฒนธรรม รวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามแห่งอเมซอน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สำรวจสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ 10 สายพันธุ์แห่งปี 2021 ที่ต้องเร่งอนุรักษ์แล้ว!
สัตว์สูญพันธุ์จำนวนมากในรอบ 100 ปี และจะเพิ่มขึ้นอีกด้วยน้ำมือมนุษย์
ตั้งแต่ที่เมนเดสเสียชีวิต ป่าอเมซอนก็ถูกทำลายมากขึ้น ซึ่งตอนนี้จากผลจากการสังเกตและเก็บข้อมูลพบว่าพื้นที่ป่าได้หายไปกว่า 1 ล้านตารางกิโลเมตรแล้ว เทียบเท่ากับรัฐเท็กซัสรวมกับนิวเม็กซิโกเลยทีเดียว และก็ไม่ได้เกิดขึ้นที่บราซิลที่เดียว มันยังลุกลามไปยังประเทศเปรู โคลัมเบีย เวเนซูเอลา ซูรินาม กายอานา และเฟรนช์เกียนา ที่เป็นป่าเชื่อมต่อร่วมกับป่าอเมซอน ซึ่งสูญหายไปกว่า 200,000 เอเคอร์ต่อวัน หรือเทียบกับสนามฟุตบอล 40 สนามต่อนาทีนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่เมนเดสกล่าวไว้และเป็นจริงคือ มวลมนุษย์กำลังจะล่มสลายแน่นอน เพราะป่าอเมซอนคือปอดที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมไปถึงช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลกไว้ เพื่อให้เราได้มีออกซิเจนหายใจอยู่ทุกวันนี้ หากปอดเราเสียหายต่อให้เยียวยาขนาดไหนก็อาจไม่ทันกาลได้
อัตราการตัดดไม้ทำลายป่าลดลงเล็กน้อยในช่วงปี 2004-2012 แต่ก็กลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แต่งตั้ง Jair Bolsonaro ขึ้นเป็นประธานาธิบดีบราซิล
พื้นที่ป่าอเมซอนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ นก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลงและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งก็มีช่วงที่ต้องมีการคัดเลือกโดยธรรมชาติจามวัฎจักรแต่ดูเหมือนจะกลายเป็นมนุษย์คัดสรรแล้วแหละ เพราะปัจจุบันมีพื้นที่ทำปศุสัตว์เยอะขึ้นมาก โดยเฉพาะวัวที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศมากขึ้นในทุ่งใกล้ป่าอเมซอน
นอกจากนี้รายงานจาก The Washington Post เผยว่า Bolsonaro ยังเป็นผู้มีอำนาจหลักในการสนับสนุนธุรกิจปศุสัตว์จำนวนมาก ก่อนที่เขาจะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เขาดูมีแนวโน้มที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผลกำไรมากกว่าการบำรุงรักษา เขาได้รับแรงกดดันจากนานาประเทศในเรื่องของการปกป้องผืนป่าและเขาได้แจ้งไปยังกลุ่มไม่แสวงผลกำไรระดับนานาชาติอย่าง กองทุนสัตว์ป่าโลก (The Wildlife Fund) ว่าเขาจะไม่ทนกับการกดดันนี้แน่นอน อีกทั้งเขายังออกมาต่อต้านดินแดนที่สงวนไว้สำหรับชนเผ่าพื้นเมืองอีกด้วย
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มนุษย์ชาติของเราจะต้องโดนทำร้ายจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เอง ที่พวกเขาไม่เคยเห็นคุณค่าเลย เพราะเล็งเห็นแต่ผลกำไรที่ตนจะได้รับ อย่างที่เกรตา ธันเบิร์ก เคยบอกไว้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้มองเห็นแค่เม็ดเงิน แต่ไม่เคยมองเห็นชีวิตและผลกระทบที่ตามมา ผู้เขียนขอฝากการประชุม COP26 ที่จะจัดขึ้นสิ้นเดือนนี้ที่ประเทศสก็อตแลนด์ด้วย เนื่องจากหลายพื้นที่ตอนนี้เยาวชนได้ออกมาเรียกร้องให้เหล่าผู้นำทั่วโลกออกมารับผิดชอบด้วยการหาข้อตกลงและวิธีทางแก้ไขให้ดีที่สุดในการแก้ปัญหาโลกร้อน ซึ่งการประชุมนี้สำคัญมากๆต่อการเปลี่ยนแปลงและทิศทางในการจัดการปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราต้องติดตามกันต่อไปว่าผลสรุปของการประชุมนี้จะจบลงอย่างไร
ที่มาข้อมูล The Guardian