นายกรัฐมนตรี ยืดอก รับบกพร่อง ไม่สวมหน้ากากอนามัยร่วมประชุม จนถูกแจ้งปรับ พร้อมขอให้ทุกคนทำความเข้าใจกฏหมาย ระบุวันนี้ตนใส่แมสก์บนรถมาตลอดทาง พร้อม ขอความร่วมมือแพทย์ต่างๆ เข้าใจรัฐบาลกำลังบริหารราชการ ยืนยัน บริหารได้ทุกอย่าง ไร้ปัญหา
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ถูก กทม.แจ้งปรับหลังไม่สวมหน้ากากอนามัยร่วมประชุมเมื่อวานนี้ ว่าตนได้เห็นข่าวในโทรทัศน์และในเฟซบุ๊ก ก็ไม่สบายใจ จึงได้ปรึกษาฝ่ายกฏหมายให้มาปรับตนก็ได้ กทม.จึงได้จัดเจ้าหน้าที่ปรับตนก็เท่านั้นเอง ยอมรับว่าตนเองบกพร่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าจบไปแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดต้องเข้าใจข้อกฏหมายเพราะมีอยู่หลายตัว ทั้งของตำรวจ และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมถึงอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการออกมาตรการต่างๆ
ทั้งนี้ อนุโลมเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ซึ่งเหล่านี้ถือคือพื้นฐาน ขอให้ไปทำความเข้าใจกับกฏหมายที่มีอยู่ปัจจุบัน ซึ่งก็มีหลายคนที่ถามว่าขับรถต้องใส่หน้ากากกันหรือไม่ ถ้านั่งกันหลายคนก็ต้องใส่ ตนก็ใส่ในรถมาตลอดทาง เพราะไม่ต้องการแพร่เชื้อให้กับคนอื่น และคนในครอบครัวเหมือนกัน ซึ่งต้องระวังทั้งหมด
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ขอยืนยันในหลักการ ทำอย่างไรจะไม่ถูกปรับเมื่อออกนอกเคหสถาน จะต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เเม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม แม้จะอยู่ในวัดมากกว่า 1 คน ก็ต้องสวมหน้ากาก จัดรายการในสตูดิโอก็ต้องสวมหน้ากากทุกคน
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำว่า ในการประเมินผู้ป่วยที่ถูกแบ่งเป็น 3 สีคือ
สีแดง คือผู้ป่วยอาการหนัก ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลเพื่อรักษาเฉพาะทางเดินเร็วที่สุด
สีเหลือง คือผู้ป่วยมีอาการน้อย จะถูกส่งไปยัง Hospitel
สีเขียว ซึ่งเป็นผู้ป่วยไม่มีอาการโดยจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลสนาม
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากบูรณาการเรื่องข้อมูล เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ดีที่สุดโดยตนได้สั่งการให้จัดเตรียมสถานที่คัดกรองให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความแออัดในพื้นที่โรงพยาบาลต่างๆ
ส่วนการฉีดวัคซีนที่ได้รับมาเพิ่มเติม จากการทำงานเร่งรัดของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ได้มีการติดต่อกับทางรัฐบาล และบริษัทผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งจะต้องมีการติดต่อกับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการควบคุมของภายใต้รัฐบาลของแต่ละประเทศต้นทางผลิตวัคซีน โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจนเพิ่มขึ้น ยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นใครแต่ต้องหาช่องทางให้สามารถดำเนินการ รวมกันได้ คือรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่าง ในเรื่องผลกระทบข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น และขณะนี้มีการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วกว่า 2 แสนคน และจะเร่งรัดการดำเนินการตามวัคซีนที่มีอยู่ พร้อมกับตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 50 ล้านคนหรือ 100 ล้านโดส ในปีนี้ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้วัคซีนมาเพิ่มเติมอย่างไร ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจทำงานเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ปัญหาสำคัญคือประเทศของเขา รัฐบาลของเขา บริษัทของเขา แล้ววัคซีนเองเป็นสินค้าที่ถูกแย่งในทุกภูมิภาค วันนี้ทุกคนทำงานเต็มขีดความสามารถแล้ว
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังขอขอบคุณจิตอาสากลุ่มองค์กรและบุคคลต่างๆที่ได้แสดงน้ำใจ เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือการบริหารงานของภาครัฐหรือช่วยเหลือบุคคล ตนขอบคุณอย่างยิ่ง รัฐบาลรับทุกเรื่องไว้พิจารณา และขอบคุณข้อมูลอันเป็นประโยชน์ พร้อมกับระบุว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรวมหัวใจไว้ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำในสิ่งที่ทุกคนทำได้หาช่องทางร่วมมือกันให้ได้ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น นี่คือน้ำใจของคนไทย ต้นขอให้ช่วยกัน ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้บุคลากรด้านหน้าและทีมประเทศไทยได้รวมพลังกันสู้เพื่อให้ผ่านวิกฤตการณ์ดังกล่าวนี้ไปให้ได้เร็วๆ
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังระบุถึงยอดผู้เสียชีวิตประจำวันซึ่งสูงถึง 15 คน ซึ่งประชาชนมีความกังวลว่าคนที่ติดเชื้อได้รับการรักษาพยาบาลแล้วหรือไม่นั้น ต้นได้สั่งการให้ดำเนินการแก้ไขปัญหานคือผู้ป่วยที่ตกค้างอยู่นอกโรงพยาบาลกว่า 1400 คน ซึ่งได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแล้วโดยใช้เวลา 3 วัน ซึ่งเป็นจำนวนที่ตกค้างมาจากช่วงเทศกาลสงกรานต์
อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีให้กำลังใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิตปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นด้านหน้าของรัฐบาล และอย่างไรก็ตามตนขอความร่วมมือกับกลุ่มแพทย์ต่างๆ ว่าต้องเข้าใจว่ากำลังบริหารราชการกันอย่างไร ควรส่งเสริมกันมากกว่าที่จะขัดแย้งกัน ตนเคารพทุกคนไม่ว่าจะเป็นแพทย์จากที่ใดก็ตาม ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าบริหารไม่ได้หรืออย่างไร ตนขอยืนยันว่าตนบริหารได้ทุกอย่าง ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขไม่มีปัญหาทั้งสิ้น