หนุ่มติดโควิด แชร์ประสบการณ์กักตัวที่ Hospitel สะดวกสบายกว่าที่คิด พร้อมแนะอยากให้ทุกคนรู้จักอาการของโรคให้มากขึ้น เพราะจะได้ไม่ต้องวิตกมาก
จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยหลักพันกว่าคนทุกวันทำให้เตียงเอาไว้รองรับผู้ป่วยไม่พอ รับจึงได้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและทางโรงแรมบางแห่งได้ผันตัวเองมาเป็น Hospitel ให้ผู้ป่วยได้กักตัวระหว่างรักษาอาการป่วยโควิด และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Kannapong Pura ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ที่เจ้าตัวนั้นติดเชื้อโควิดและได้รักษาตัวกับโรงพยาบาลก่อนที่จะเข้ามากักตัวที่ Hospitel โดยผู้โพสต์ได้ระบุว่า...อัพเดทอาการ 7 วันหลังจากเข้า
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคําแหง อาการไอ ดีขึ้นมากจนหายแล้ว เหลือแค่เสมหะเล็กน้อยหยุมหยิม จนตอนนี้การได้กลิ่น รับรสชาติ ก็ยังปกติ ไม่เคยหายไปเลย เมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมา ก็เลยได้ย้ายมา Hospitel ที่ รพ. จัดไว้ให้ ย่านบางบอน สะดวกสบายกว่าอยู่ รพ. มากๆ ที่นอนก็นุ่มกว่า แต่ก็อย่างว่า การกักตัวมันก็อึดอัดแหละ ต้องอยู่แต่ในห้องกับใครที่ไม่รู้จักมาก่อน โชคดีที่เจอคนที่นิสัยดี ต่างคนต่างก็ไม่รบกวนกัน
เมื่อเข้า รพ. มารักษาโควิด เขาจะโฟกัสที่ปอด ว่าในแต่ละวันเนี่ย เชื้อลงปอดเราไหม และเรามีอาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง จะไม่มีการให้ยารักษาโควิดนะครับ เพราะไม่มี ทุกคนจะได้รับการรักษาตามอาการ ไอก็รับยาแก้ไอไป มีไข้ก็รับยาลดไข้ไป และส่วนใหญ่คนที่เป็นหนักๆ จะมีโรคประจำตัวครับ เช่น ความดัน เบาหวาน ฯลฯ ส่วนเรานั้นไม่มีโรคประจำตัวนอกจากภูมิแพ้อากาศ บวกกับการออกกำลังกายของเราที่ผ่านมา ก็คิดว่าก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้เยอะเลย กลับออกไปต้องจริงจังกับการออกกำลังกายมากขึ้นไปอีก
หลังจากนี้พอครบ 14 วัน เราจะต้องตรวจโควิดแบบ Swab อีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าผลเป็นลบ ถึงจะกลับบ้านได้ครับ
สิ่งที่อยากจะบอกในวันนี้ คืออยากให้ทุกคนรู้จักอาการของโรคให้มากขึ้น ที่สำคัญ เมื่อเกิดการระบาด แล้วมีตัวเราเกี่ยวข้องอยู่ในนั้น เราต้องรู้ว่าเราอยู่ในกลุ่มไหน เสี่ยงมาก เสี่ยงต่ำ เสี่ยงต่ำมาก หรือแค่กังวลไปเอง
ก่อนจะประเมินว่าเสี่ยงแค่ไหน ต้องมีการยืนยันก่อนว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 1 ซึ่งเราใกล้ชิดกับคนๆ นั้นมากๆ แบบไม่ใช่แค่เดินผ่าน ต้องยืนเม้าท์กันไฟแลบจริงๆ และนับเฉพาะผู้ติดเชื้อนะ ไม่ใช่คนรอบข้างของผู้ติดเชื้อ คนนั้นยังไม่เกี่ยวครับ
คิดง่ายๆ คนที่เสี่ยงมากคือ...
- คนที่พูดคุยใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อแบบ #ไม่ใส่แมสก์
- กินข้าวร่วมกัน #ไม่ใช้ช้อนกลาง
- กินน้ำ กินเหล้า แก้วเดียวกัน เป็นต้น
คนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง เพราะสัมผัสโดยตรง หลังจากรู้ว่าคนที่เราใกล้ชิดติดเชื้อ แล้วเราเสี่ยงมาก ให้รออีก 5 วันค่อยไปตรวจ โดยต้องสังเกตอาการตัวเองด้วยว่ามีไข้ ปวดเมื่อยหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีก็ไม่ต้องกังวล เราอาจไม่ติดก็ได้ แต่ถ้าติดแบบยังไม่ครบ 5 วัน แล้วไปตรวจ ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เจอเชื้อแล้วต้องมาตรวจใหม่อยู่ดี
ย้ำอีกครั้ง! ถ้าแค่เดินผ่าน ทำงานห้องเดียวกัน ชั้นเดียวกัน คุยกันห่างๆ แบบใส่แมสก์ หรือสัมผัสตัวกัน ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะติด อย่ากังวลมาก มันจะเครียดและป่วยเป็นโรคอื่นแทนนะครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ติดเชื้อ และคนที่อาจจะมีโอกาสติดเชื้อในอนาคตนะครับ โรคนี้มันจะอยู่ไปกับเราอีกนานแน่ๆ ถ้าเราไม่เรียนรู้กับมัน ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องพบผู้คน ก็จะไม่เสี่ยงครับ ใครทำได้ก็ดี แต่เราทำไม่ได้ครับ ระหว่างนี้ ถ้าเราไปที่เสี่ยง เราก็จะ Social Disatancing กันไป จนกว่ารัฐบาลจะจัดวัคซีนให้คนได้ทั่วประเทศนั่นแหละ
ป.ล. มีคนถามเรื่องค่ารักษาพยาบาล จะบอกว่าเราเสียแค่ค่าตรวจ 3,000 บาท พอเจอเชื้อ รพ. ต้องรับเรารักษาฟรีครับ เดี๋ยวจะย้ายสิทธิประกันสังคม จาก รพ.ตำรวจ มาอยู่ที่นี่แทน ดูแลดีมาก เลิฟเลย เป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนครับ กราบใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-สปสช.วอนชุมชนอย่ากังวล หากมีผู้ติดเชื้อกักตัวที่บ้านระหว่างหาเตียง
-กทม. อันดับ 1 ติดเชื้อโควิดสูงสุด 293 ราย ยอดสะสม 3,615 ราย
-หมอ รพ.สนาม-Hospitel หนักใจ! เล่าเป็นข้อๆ ผู้ป่วยไม่ยอมปฏิบัติตามกฎ