SHORT CUT
จากธนบุรี สู่กรุงเทพฯ เจาะลึกเหตุผล ทำไมต้องย้ายเมืองหลวง ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ ตลอดจนการมองไกลสู่อนาคต
กรุงเทพมหานคร หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช การย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใน พ.ศ. 2325 นั้น มีเหตุผลสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองการตัดสินพระทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชในการย้ายเมืองหลวงนั้นมีรากฐานมาจากข้อจำกัดและจุดอ่อนของกรุงธนบุรีในหลายด้าน
พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า กรุงธนบุรีมีที่ตั้ง "อยู่ในที่คับแคบ ไม่ต้องด้วยหลักพิชัยสงคราม" เมืองธนบุรีตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้อมปราการทั้งสองฝั่ง ทำให้การถ่ายเทกำลังพลเพื่อป้องกันเมืองทำได้ไม่สะดวกหากข้าศึกเข้าประชิดพระนคร เพราะต้องข้ามแม่น้ำที่กว้างและลึก ทำให้ยากต่อการสร้างสะพาน นอกจากนี้ โค้งแม่น้ำด้านนอกของกรุงธนบุรี ทำให้น้ำไหลเชี่ยวและกัดเซาะตลิ่งได้ง่ายกว่าฝั่งกรุงเทพฯ
บริเวณพระราชวังเดิมในกรุงธนบุรี คับแคบและไม่สะดวกต่อการขยายพระราชวังให้กว้างออกไป เนื่องจากถูกขนาบข้างด้วยวัดอรุณราชวรารามและวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพิจารณาเห็นว่า ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือบริเวณที่เป็น "บางกอก" เดิม มีชัยภูมิที่เหมาะสมกว่า เป็น หัวแหลม ที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบทั้งด้านตะวันตกและด้านใต้ ทำให้มีแม่น้ำเป็นคูเมืองโดยธรรมชาติถึงสามด้าน. เพียงแต่ต้องขุดคลองเพิ่มเติมทางด้านเหนือและด้านตะวันออกเพื่อเป็นคูเมืองหากข้าศึกบุกเข้ามาถึงพระนคร ก็ยังสามารถต่อสู้ป้องกันได้
พื้นที่นอกคูเมืองเดิมทางฝั่งตะวันออกเป็น ที่ลุ่มที่เกิดจากการตื้นเขินของทะเล ทำให้ข้าศึกยกทัพมารุกรานได้ยาก. การป้องกันพระนครจึงมุ่งเน้นไปที่ด้านฝั่งตะวันตกเป็นหลัก ฝั่งตะวันออกเป็น พื้นที่ใหม่ ซึ่งในขณะนั้นสันนิษฐานว่ามีชุมชนชาวจีนอาศัยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่. หลังจากทรงชดเชยค่าเสียหายและให้ชาวจีนย้ายไปอยู่สำเพ็งแล้ว, จึงมีพื้นที่ว่างเพียงพอสำหรับการสร้างพระราชวังและวางผังเมืองใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง
การตั้งพระบรมมหาราชวังยังเป็นไปตามหลักการในตำราพิชัยสงครามที่เรียกว่า "นาคนาม" ซึ่งมีหลักการให้มีแม่น้ำโอบรอบ. ตำแหน่งที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังนั้นสอดคล้องกับลักษณะดังกล่าว โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบ
ภายหลังการขึ้นครองราชย์และสถาปนาราชวงศ์จักรีในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 การย้ายเมืองหลวงเป็นการแสดงถึงการเริ่มต้นศักราชใหม่และความมั่นคงของราชวงศ์ใหม่
การเลือกบริเวณที่เป็นบ้านพระยาราชาเศรษฐีและบ้านจีน อาจเป็นเพราะเป็น ชัยภูมิที่ดีและส่งเสริมความสำเร็จ เนื่องจากพระยาราชาเศรษฐีเองก็มีความเติบโตในราชการในบริเวณนั้น
หลังจากทรงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้โปรดให้สร้างพระบรมมหาราชวังบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่เป็นบ้านพระยาราชาเศรษฐีและบ้านจีนเดิม. พระองค์ได้พระราชทานนามพระนครใหม่นี้ว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการแก้ไขและเติมสร้อยนามพระนครให้ยาวขึ้น
ในด้านการปกครอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังคงยึดถือรูปแบบการปกครองตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลายและกรุงธนบุรี โดยมีการปรับปรุงบ้าง มีการแบ่งการปกครองส่วนกลางออกเป็น 6 กรม มีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการควบคุมอำนาจของเจ้าเมือง โดยให้ข้าราชการสำคัญได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
การสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงใหม่แทนที่กรุงธนบุรีนั้น เป็นผลมาจาก การพิจารณาถึงข้อจำกัดด้านยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์ของกรุงธนบุรีที่ไม่เอื้อต่อการป้องกันและการขยายตัวของเมือง ในขณะที่ ทำเลที่ตั้งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีชัยภูมิที่เหมาะสมกว่าในด้านการป้องกัน การคมนาคม และการขยายพื้นที่ นอกจากนี้ การสถาปนากรุงเทพฯ ยังเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ภายใต้ราชวงศ์จักรี และการวางผังเมืองตามหลักพิชัยสงคราม เพื่อสร้างเมืองหลวงที่มั่นคงและสง่างาม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ กรุงเทพมหานครจึงได้รับการสถาปนาและพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิง
SilpaMag1 / SilpaMag2 / ประวัติศาสตร์ /