svasdssvasds

การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้เราดูเป็นคนแย่ในสายตาเพื่อนหรือเปล่า ?

การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้เราดูเป็นคนแย่ในสายตาเพื่อนหรือเปล่า ?

การหัวเราะบ่อยเกินไป อาจทำให้เราดูแย่ในสายตาเพื่อนร่วมงานได้ และถ้าเขาไม่หัวเราะด้วย เสียงหัวเราะเราอาจเป็นการแสดงอำนาจโดยไม่ได้ตั้งใจ

SHORT CUT

  • การหัวเราะบ่อยๆ หรือหัวเราะตอนที่ไม่รู้กาลเทศะ อาจสร้างความ ขุ่นเคืองให้กับหูของเพื่อนคุณได้
  • ในสังคมการทำงาน เสียงหัวเราะมีความเสี่ยงทำให้เกิดรอยร้าวฉานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคนที่หัวเราะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ
  • หากลูกน้องไม่ได้หัวเราะกลับ ปล่อยให้หัวหน้าหัวเราะแห้งๆ คนเดียว การหัวเราะนั้นจะดูไม่อบอุ่น และประสิทธิภาพของผู้นำการเป็นผู้นำในสายตาคนอื่นจะลดลงทันที

การหัวเราะบ่อยเกินไป อาจทำให้เราดูแย่ในสายตาเพื่อนร่วมงานได้ และถ้าเขาไม่หัวเราะด้วย เสียงหัวเราะเราอาจเป็นการแสดงอำนาจโดยไม่ได้ตั้งใจ

เพราะการหัวเราะเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่มนุษย์มีมาตั้งแต่อดีต และถือเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่เพียงแต่ทำให้บรรยากาศรอบตัวสดใสขึ้น แต่การหัวเราะยังมีประโยชน์มากมายทั้งทางร่างกายและจิตใจ

แต่การหัวเราะบ่อยๆ หรือหัวเราะตอนที่ไม่รู้กาลเทศะ อาจสร้างความ ขุ่นเคืองให้กับหูของเพื่อนคุณได้ เพราะแต่ละคนจะมีการตีความเสียงหัวเราะของคุณที่แตกต่างกันออกไป 

การศึกษาชิ้นหนึ่งในปี 2007 ที่ชื่อว่า ‘Analysis of the Occurrence of Laughter in Meetings’ หรือ ‘การวิเคราะห์เหตุการณ์เสียงหัวเราะในที่ประชุม’ เผยว่า ผลการบันทึกการประชุมความยาว 70 ชั่วโมงพบว่า เสียงหัวเราะคิดเป็นประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของการสื่อสารด้วยเสียงในห้องประชุม แต่การไม่หัวเราะเลยในระหว่างวันทำงานนั้นเป็นสิ่งที่ “แปลก”

การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้เราดูเป็นคนแย่ในสายตาเพื่อนหรือเปล่า ?

ขณะที่แนวคิดตาม ‘Developing a social functional account of laughter’ หรือ ‘การพัฒนาบัญชีการทำงานทางสังคมของเสียงหัวเราะ’ งานวิจัยปี 2018 ของ ‘มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน (University of Wisconsin – Madison) ’ เผยว่า เสียงหัวเราะของเรามีหน้าที่หลัก 3 ประการดังนี้

ความหมายของการหัวเราะ 

ประการที่ 1 คือให้รางวัล เป็นการสื่อถึงความชื่นชมที่เรามีต่อบุคคลอื่นและช่วยเสริมสร้าง พฤติกรรมที่บุคคลนั้นเพิ่งทำไป

ประการที่ 2 คือความสัมพันธ์ การหัวเราะสามารถช่วยคลายความอึดอัดที่อาจเกิดขึ้นในการสนทนาและแสดงให้เห็นว่าเราต้องการให้การสนทนานั้นสนุกสนานต่อไป แสดงให้เห็นว่าเราไม่ต้องการถูกมองเป็นภัยคุกคาม

ประการที่ 3 คือความเหนือกว่า โดยใช้สัญญาณความขบขันแทนการพูดตรงๆ เป็นวิธีการการแสดงความไม่เห็นด้วย หรือเยาะเย้ยโดยเลี่ยงการเผชิญหน้ากันตรงๆ แม้ว่าจะดูไม่ดีนัก แต่ก็อาจช่วยให้เราไม่ต้องทะเลาะกับคู่สนทนาที่อาจเกิดขึ้น หากเราพูดคำที่ตรงความหมายเกินไป

สรุปคือ การหัวเราะของเราสามารถเข้าข่าย ทั้ง 3 ประการ ขึ้นอยู่กับว่าเราหัวเราะตอนไหน หรือเพื่อนที่ฟังเราจะตีความไปไกลแค่ไหน

การหัวเราะที่ต้องระวัง ในสังคมการทำงาน 

ในสังคมการทำงาน เสียงหัวเราะมีความเสี่ยงทำให้เกิดรอยร้าวฉานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคนที่หัวเราะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ ซึ่งการตีความเสี่ยงหัวเราะของหัวหน้างานนั้น ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาตอบรับจากลูกน้อง หากหัวหน้าหัวเราะใส่หน้าลูกน้อง และลูกน้องร่วมหัวเราะด้วย จะทำให้ผู้นำดูเป็นคนอบอุ่นมากขึ้น และช่วยเพิ่มความเป็นกันเองในที่ทำงานได้

การหัวเราะที่ต้องระวัง ในสังคมการทำงาน

ในทางกลับกัน หากลูกน้องไม่ได้หัวเราะกลับ ปล่อยให้หัวหน้าหัวเราะแห้งๆ คนเดียว การหัวเราะนั้นจะดูไม่อบอุ่น และประสิทธิภาพของผู้นำการเป็นผู้นำในสายตาคนอื่นจะลดลงทันที และมักถูกตีความว่า เป็นเสียงหัวเราะเชิงแสดงอำนาจ

นี่ก็เป็นแค่ผลของการศึกษาส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การหัวเราะคือเรื่องที่ดี หาก เจตนาของคนหัวเราะเป็นไปในทางที่ดีและใส่ใจกับปฏิกิริยาของผู้ฟัง ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะกักเก็บเสียงหัวเราะนั้นไว้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือในที่ทำงาน ก็อย่าให้มันเคร่งขรึมเกินไป หัวเราะออกมาเถอะ

ที่มา : Researchgate/Newscientist 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related