ชวนมาเรียนรู้เทคนิคการฟัง ด้วย 5 ขั้นตอนของการฟังที่จะช่วยเยียวยาจิตใจ (ผู้พูด) ไม่ทำร้ายตัวเราเอง (ผู้ฟัง) และได้มุมมองใหม่ๆ ซึ่งอาจจะช่วยให้เขาได้เข้าใจปัญหาของเขามากขึ้น ที่ไม่ใช่แค่การรับฟัง แต่เป็นการ "ฟังให้เป็น"
เคยมั้ย…ฟังเรื่องคนอื่น ยิ่งฟังยิ่งเหนื่อย แล้วพลอยจิตตกเครียดตามไปด้วย จนสุดท้ายมันกลายเป็นเรื่องของเรา หรือหลายครั้งก็รู้สึกเสียเวลาแต่ไม่รู้จะปฎิเสธอย่างไร พอฟังก็เล่าไม่จบสักที จะขอตัดบทก็ไม่กล้า กลัวเพื่อนเสียใจ เลยต้องเสียเวลาฟังเพื่อนปรับทุกข์เป็นชั่วโมง แล้วก็เป็นแบบนี้วนๆ ซ้ำๆ กันไป
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอเรื่องแบบนี้ อยากชวนมาเรียนรู้เทคนิคการฟัง ที่ไม่ใช่แค่การรับฟัง แต่เป็นการ ‘ฟังให้เป็น’ ด้วย 5 ขั้นตอนของการฟังที่จะช่วยควบคุมเวลา เยียวยาจิตใจ (ผู้พูด) และไม่ทำร้ายตัวเราเอง (ผู้ฟัง) เรียกว่ารักษาสภาพจิตใจเรา และทำให้คนที่มาระบายรู้สึกดีขึ้น เข้าใจเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึกของตัวเขาเองมากขึ้น
เทคนิคการฟัง ขั้นตอนนี้จะช่วยให้เราเดาอารมณ์ ความรู้สึกรวมๆ เพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องที่จะต้องฟังได้ รวมถึงประเมินตัวเองว่ารับมือฟังกับเรื่องหนักๆ ที่ต้องฟังต่อไปไหวมั้ย
ช่วยให้เรารู้ความคาดหวังว่าอยากให้ฟังเฉยๆ อยากได้คำแนะนำ หรือขอความช่วยเหลือ รวมถึงบอกระยะเวลาที่เราสามารถอยู่ฟังได้ คนเล่าจะได้รู้ว่าเขามีเวลาเท่าไหร่ที่จะเล่าให้จบ ควรใส่รายละเอียดมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่เราสามารถกระชับบทสนทนาได้อย่างสุภาพเมื่อใกล้ถึงเวลาที่กำหนดไว้
การฟังอย่างใส่ใจนั้นมีหัวใจสำคัญอยู่ 3 อย่างคือ
เทคนิคการฟัง Step4 ถามว่าทำไมเราต้องสรุปเรื่องที่เขาเล่ามากลับไปให้เขาฟังอีกที คำตอบคือบางทีคนเล่าอาจจะจมอยู่กับปัญหาและมีมุมมองต่อเรื่องราวที่เล่ามาเพียงด้านเดียว การที่มีคนนอกที่ฟังเรื่องทั้งหมดสรุปสะท้อนกลับให้ฟังอีกทีย่อมช่วยให้เขาเห็นภาพรวมได้ชัดขึ้น เหมือนกับคนดูละครที่เห็นปฎิสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวเชื่อมโยงกันได้ดีกว่าตัวละครในเรื่องที่จะรับรู้ได้แค่บทบาทของตัวเองเท่านั้น สิ่งที่ต้องสรุปสะท้อนคือ
เรากำลังจะปิดจบกระบวนการฟังที่สามารถช่วยเพื่อนที่มาเล่าระบายความทุกข์ให้ฟังมากกว่าการเป็นเพียงแค่ผู้รับฟังเท่านั้น ขั้นตอนนี้เราจะช่วยตั้งข้อสังเกตจากสิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟังมา เพิ่มเติมไปจากการสรุปใน Step 4 ข้อสังเกตสามารถเป็นไปได้ว่า มีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล เช่น ปกติเพื่อนจะไม่โกหกหรือผิดคำพูด แต่เหตุการณ์ที่เล่ามาเพื่อนทำแบบนั้น ก็ให้บอกข้อสังเกตนี้ไปซึ่งจะทำให้เพื่อนได้ทบทวนดูว่าทำไมเขาถึงทำเรื่องนี้
จริงๆ เพื่อนอาจจะอยากตอบแต่เราจะหยุดที่ขั้นการถามแล้วขอให้เพื่อนกลับไปคิดทบทวนดู เพราะบางครั้งคำตอบที่ตอบมาเดี๋ยวนั้นส่วนมากแล้วเป็นคำตอบที่เกิดจากกลไกการป้องกันตัวเอง ตอบเพื่อให้ไม่เสียหน้า ซึ่งเราไม่ต้องการทำตอบแบบนั้น สิ่งที่เราต้องการคือเราอยากให้เพื่อนหายจากความไม่สบายใจ หรือหาทางออกของปัญหาได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความเข้าใจในการกระทำ ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเพื่อนสามารถเข้าใจการกระทำของตัวเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
สำหรับกรณีที่ไม่มีข้อสังเกตอะไรเราสามารถถามคำถามง่ายๆ ว่า “แล้วอยากให้เรื่องคลี่คลายเป็นแบบไหนล่ะ” คำถามนี้จะช่วยให้เพื่อนสามารถโฟกัสหาทางออกในทิศทางที่ต้องการจริงๆ เรียกว่าเป็นการดึงเพื่อนมายืนตรงหน้าประตูทางออก แล้วถามเขาว่าถ้าประตูเปิดออกแล้วอยากกับเจออะไร
กรณีที่เรามีคำแนะนำที่อยากบอกจริงๆ เราสามารถให้คำแนะนำในช่วงท้ายนี้ แต่....ให้ขออนุญาตก่อนว่า “ที่ฟังมาเราขออนุญาตแนะนำได้มั้ย?” แล้วค่อยให้คำแนะนำ อย่างไรก็ตามต่อให้เพื่อนฟังคำแนะนำของเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องทำตาม หากเขาไม่ทำตาม เราในฐานะคนนอกก็อย่างผิดหวังหรือเสียใจ เพราะถึงอย่างไรเรื่องของเขาก็ยังเป็นเรื่องของเขา ไม่ได้เป็นเรื่องของเรา
เราช่วยเหลือเขาเต็มที่แล้วให้ปล่อยวางและทำใจให้เป็นกลาง อย่าตัดสินเพื่อนและเรื่องราวที่ได้ฟังมา ให้คิดประหนึ่งว่าดูหนังสักเรื่องเพราะหลายครั้งคนที่มีปัญหามักรู้ทางออกของปัญหาตัวเองบ้างอยู่แล้วแต่อาจจะมีเงื่อนไขและความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถลงมือแก้ไขปัญหาได้ ทำให้มีความทุกข์ใจอยากหาที่ระบาย หาคนรับฟัง ซึ่งเราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว
5 ขั้นตอนของเทคนิคการฟังนี้ ถ้าใครทำตามนี้ได้ รับรองว่า Win-Win เพราะเราได้รักษาและกระชับความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมากระดับหนึ่ง โดยที่เราไม่ลำบากพลอยเครียดไปด้วย ส่วนเพื่อนก็ได้ระบายความทุกข์ ความไม่สบายใจ รวมถึงได้มุมมองใหม่ๆ ที่เราสะท้อนให้ฟัง ซึ่งอาจจะช่วยให้เขาได้เข้าใจปัญหาของเขามากขึ้นอีกด้วย
หมายเหตุ: เนื้อหาบางส่วนของบทความนี้นำมาจากหนังสือ I Hear You: The Surprisingly Simple Skill Behind Extraordinary Relationship sของ Michael S. Sorensen และหลักสูตร Active Listening for Effective Working ของผู้เขียน
บทความอื่นที่น่าสนใจ
เพชร ทิพย์สุวรรณ
อดีต Corporate HR ที่ชอบเม้ามอยเทคนิคและเคล็ดลับการทำงานผ่านตัวหนังสือ
ปัจจุบันเป็นวิทยากรและที่ปรึกษาด้านการคัดเลือก พัฒนาบุคคลากรของ ALERT Learning and Consultant