SHORT CUT
"Generation Beta" ชื่อนี้เป็นคำดูถูกจริงหรือ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับชื่อของคนรุ่นใหม่ล่าสุด เพราะคำว่า "beta" หมายถึงบุคคลที่ขาดความมั่นใจ
เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไปเริ่มมีจำนวนมากขึ้น คำว่า "Generation Beta" ก็กลายเป็นคำเรียกกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยอัตโนมัติ ตามธรรมเนียมที่เริ่มต้นจาก "Generation X," "Millennials" (Gen Y) , "Gen Z," และ "Gen Alpha" ซึ่งเป็นชื่อที่นักประชากรศาสตร์กำหนดขึ้นเพื่อง่ายต่อการศึกษาลักษณะเฉพาะของแต่ละยุคสมัย
ชื่อ "Generation Beta" ที่เป็นรุ่นล่าสุด กลับสร้างกระแสถกเถียงขึ้นมา เพราะคำว่า "beta" ในโลกอินเทอร์เน็ตมักถูกใช้ในเชิงลบ เพื่ออ้างถึงบุคคลที่ขาดความมั่นใจ ยอมจำนน หรือไม่สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ตรงข้ามกับ "alpha" ที่หมายถึงผู้นำ มีความแข็งแกร่ง และเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ได้ดี
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียได้ทำให้คำว่า "beta" กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง "alpha male" หรือ "sigma male" ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของบุรุษที่มีความเป็นผู้นำและเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ "beta male" ถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ยอมจำนนและไม่มีอำนาจในสังคม
เมื่อชื่อ "Generation Beta" ถูกประกาศออกมา หลายคนจึงตั้งคำถามว่าเหตุใดเด็กยุคใหม่จึงต้องถูกผูกติดกับคำที่มีความหมายในเชิงลบตั้งแต่ต้น และบางคนถึงกับมองว่าชื่อนี้อาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาของเด็กในอนาคต หากสังคมยังคงตีความความหมายของคำว่า "beta" ในลักษณะเดิม
ประเด็นนี้ ‘มาร์ก แมคคินเดิล (Mark McCrindle)’ นักประชากรศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ผู้ให้กำเนิดคำว่า "Gen Alpha" และ "Gen Beta" อธิบายว่าชื่อของแต่ละเจนเนอเรชันเป็นเพียงเครื่องมือทางประชากรศาสตร์ที่ไม่มีความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบในตัวเอง คำว่า "Beta" มาจากลำดับตัวอักษรกรีกที่ใช้ต่อจาก "Alpha" เท่านั้น และไม่ได้เกี่ยวข้องกับศัพท์สแลงในโลกออนไลน์แต่อย่างใด
"การที่ชื่อของเจนเนอเรชันหนึ่ง ๆ ถูกมองว่าเป็นคำดูถูกนั้นเกิดจากค่านิยมทางสังคมในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่ได้หมายความว่าชื่อนี้จะมีความหมายเชิงลบตลอดไป" McCrindle กล่าว
หากย้อนกลับไปดูประวัติของชื่อรุ่นก่อน ๆ เช่น "Millennials" (Gen Y) หรือ "Gen Z" ก็เคยเผชิญกับการตั้งคำถามคล้าย ๆ กัน เช่นกัน บางคนมองว่า Millennials เป็นคนรุ่นที่ "ขี้เกียจ" และ "เอาแต่ใจ" ในขณะที่ Gen Z เคยถูกมองว่าเป็น "รุ่นที่ติดโทรศัพท์" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อเหล่านี้ก็กลายเป็นเพียงฉลากทางประชากรศาสตร์ที่ไม่มีความหมายแฝงด้านลบมากนัก
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า แม้ชื่อ "Beta" อาจถูกมองว่าเป็นข้อเสียในตอนนี้ แต่ในอนาคตอาจกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการปรับตัวและการทำงานร่วมกันของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่างรอบตัว
"บางที Beta อาจไม่ได้หมายถึงการเป็น 'รอง' หรือ 'อ่อนแอ' แต่อาจหมายถึงการเป็นรุ่นทดลองที่สามารถพัฒนาและปรับปรุงตัวเองได้เรื่อย ๆ เหมือนกับซอฟต์แวร์ที่มีเวอร์ชัน Beta ก่อนจะกลายเป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบในอนาคต"
ที่มา : nypost
ข่าวที่เกี่ยวข้อง