SHORT CUT
อย่ากลับบ้าน ไม่งั้นเจอลูป ปฏิวัติ – รัฐประหาร ไม่จบสิ้น !? ถอดสัญญะจากซีรีส์ไซไฟไทย ที่ทะเยอทะยานแบบพอดี ดูรู้เรื่อง แถมสนุกอีกต่างห่าง !
พูดได้เต็มปากว่า ‘อย่ากลับบ้าน (Don't Come Home)’ ใน NETFLIX ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ได้สร้างมิติใหม่ให้กับวงการซีรีส์ไทยไปเรียบร้อย แม้พล็อตจะดูเหมือนมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องอื่น แต่ผู้สร้างก็ได้เติมเรื่องราวแบบไทยๆ คู่กับ พล็อตแบบหนังลึกลับไซไฟได้อย่างน่าสนใจสำหรับคนไทยอย่างยิ่ง
'อย่ากลับบ้าน' กำกับโดย ‘ต้น-วุฒิดนัยง’ เป็นซีรีส์ไทยแนวดราม่าลึกลับ ที่มีพล็อตเรื่องเรียบง่าย โดยเล่าถึง วารี (รับบทโดย นุ่น วรนุช) ที่เพิ่งจะทะเลาะกับสามี จึงตัดสินใจพาลูกสาวคนเดียวของเธอ มิน (รับบทโดย เจแปน พลอยปภัส) กลับไปยังบ้านเก่าของครอบครัวที่ชื่อว่า "บ้านจารึกอนันต์" หลังจากที่บ้านนี้ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 30 ปี
เมื่อทั้งสองแม่ลูกเข้ามาในบ้าน พวกเขาเริ่มเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดที่ยากจะอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นไฟ ติดๆ ดับๆ ข้าวของที่เคลื่นที่ได้เอง และร่างผู้หญิงที่โผล่มากับความมืด จนกระทั่งมินหายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ วารี จึงต้องขอให้ ฟ้า (รับบทโดย แพร พิชชาภา) ตำรวจหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องเข้ามาสืบสวนคดีนี้ และในระหว่างการสืบสวน ผู้หญิงทั่งสองก็ได้พบกับหลักฐานที่ทำให้เธอสงสัยว่าบ้านหลังนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งสร้างความตื่นเต้นและลุ้นระทึกอย่างยิ่ง จนถึงขั้นอยากดูรวดเดียวให้จบทุกตอนเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่หน้าหนังดูเหมือน ‘หนังผีสยองขวัญ’ มาก แต่เอาเข้าจริง ผีเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น และไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับสามารถใส่ ชอง (Genre) ของไซไฟ ฆาตกรรม สืบสวน ไสยศาสตร์ และดราม่าเข้าไปได้อย่างลงตัว จนทำให้ซีรีส์ไทยเรื่องนี้ดูโดดเด่นมากๆ เมื่อเทียบกับหนังผีอื่นๆ
แต่แน่นอนว่า มันคือดาบสองคม เพราะเมื่อมาเส้นทางนี้ ต้องใช้สมาธิสูงมากในการดูและตีความ ซึ่งอาจไม่ถูกใจคนที่อยากดูหนังเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าคุณสนุกกับการหาสัญญะต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในหนังอยู่แล้ว เรื่องนี้คือคำตอบ และคุณจะสนุกกับการตีความเรื่อง
ประเด็นที่ชัดมากของอย่ากลับบ้าน คือชีวิตที่ขมขื่นของผู้หญิง วารีเผชิญความรุนแรงจากสามี และแสดงออกถึงสัญชาตญาณของความเป็นแม่ทันที ด้วยการพาลูกหนีจากความรุนแรงในครอบครัว ในขณะที่สามียังคงนึกถึงแต่ตัวเอง ขณะที่ฟ้าโดนดูถูกจากการเป็นเมียน้อยเจ้านายเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง และมีผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัวตามติดเป็นเงา เธอจึงใช้ชีวิตประจำวันด้วยความกดดันทุกนาที
เมื่อทั้ง 2 ต้องมาตามหามินด้วยกัน เราจึงเห็นว่า ทั้ง ‘วารี’ และ ‘ฟ้า’ มีความเป็นผู้หญิงและความเป็นแม่คล้ายๆ กัน แต่ต่างกันตรงที่ วารี มีความเปราะบางจากประสบการณ์ที่เธอเผชิญ แต่ ฟ้า ดูจะเป็นผู้ที่ญิงแกร่งกว่าในทุกๆ ด้าน แม้จะอยู่ในสังคมตำรวจที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และยังมุ่งมั่นในเรื่องอาชีพการงานมากกว่าตำรวจชายยศสูงๆ ที่ยังคงห่วงแต่ตัวเอง
ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นทั้งคนที่จริงใจ และไม่จริงใจกับฟ้า แต่ช่วงหนึ่งของเรื่องเธอก็ประกาศกับคนอื่นว่า “เธอดูแลตัวเองได้” ต่อหน้าตำรวจชายเป็นสิบคน และในตอนสุดท้ายที่เธอแทบไม่เหลือใคร ลูกก็ใกล้คลอด เต้ (ปาริธ ทิมทอง) เพื่อนตำรวจที่หวังดีกับเธอมาตลอด ก็เหมือนเสนอตัวพร้อมช่วยเหลือ แต่สุดท้ายฟ้าก็ตอบว่า “เราไม่เป็นไร หยุดตามเราได้แล้ว” ก็เป็นการหักล้างแนวคิดที่ว่า ผู้หญิงต้องมีผู้ชายดูแลตลอดได้อย่างสิ้นเชิงไปเลย
สรุปคือ วารีเป็นตัวแทนของแม่ที่พยายามปกป้องลูก แม่จะเปราะบางแต่ก็มีความกล้าหาญในแบบคนเป็นแม่ ขณะที่ฟ้าเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่พยายามรักษาสถานะในสังคมและอาชีพแม้จะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ก็ตาม
เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องราวของ วารี เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ซึ่งหากย้อนดูภาพในอดีต มีเหตุการณ์ทางการเมืองมากมายเกิดขึ้นในเดือนนี้ ส่วนเลขที่บ้านเก่าที่ถูกทิ้งร้างก็คือ 2475 ซึ่งเป็นปีที่ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย แถมในเรื่องยังมีการย้อนเวลาไปปี 2535 ที่มีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และช่วงที่วารีเจอกับสามีก็คือปี 2557 ซึ่งตรงกับช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ และทำรัฐประหารพอดี
แม้สัญญะทางการเมืองเหล่านี้จะถูกใส่มาแบบแอบๆ แต่ถ้านำมาผูกกับพล็อตย้อนเวลา การฉายภาพเดิมซ้ำ ๆ เหตุการณ์หมุนเป็นวงกลมโดยที่ตัวละครก็ไม่รู้ตัว แถมยังต้องผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองข้างต้นซ้ำ ๆ จึงดูเป็นการบอกกลายๆ ว่า ทั้งตัวละครวารี และคนไทยนอกจอต้องเจอเหตุการณ์ปฏิวัติ รัฐประหาร ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่จะวนลูปแบบนี้ต่อไปไม่จบสิ้นหรือเปล่า ?
สรุปคืออย่ากลับบ้าน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวลึกลับระทึกขวัญ แต่ยังมีมิติทางสังคมและจิตวิทยาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเป็นผู้หญิงที่ติดอยู่ในโลกที่ไม่เท่าเทียมแบบเดิมๆ เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้คิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หญิงในสังคม รวมถึงการเมืองในไทย และเมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ความน่ากลัวของเรื่องนี้ไม่ใช่ ‘ผี’ แต่คือการหลุดจากวงจรอันเจ็บปวดเดิมๆ ไม่ได้สักที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
.