ข้อคิดดีๆ จากการเลี้ยงน้องหมา วิ่งไล่บอล ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขอันเรียบง่ายของน้องหมา ที่เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
วันทั้งวันของสุนัขอาจดูเหมือนมีแค่เรื่องง่ายๆ อย่าง วิ่งไล่คาบบอล วิ่งไล่กระรอก ดมกลิ่นต้นไม้ ฉี่ทิ้งอาณาเขต แล้วก็กลับมากระดิกหางรออาหารมื้อโปรด แต่ถ้าเรามองให้ลึกกว่านั้น ชีวิตของสุนัขก็มีความลึกซึ้งในตัวเอง และพวกมันอาจเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาความสุขที่แท้จริง!
เรื่องนี้มาจาก ‘มาร์ก โรแลนด์ส (Mark Rowlands)’ ศาสตราจารย์ภาควิชาปรัชญาชาวเวลส์ และผู้เขียนหนังสือ ‘The Word of Dog’ ได้เล่าไว้ในหนังสือว่า ในขณะที่มนุษย์วุ่นวายอยู่กับความเครียด กังวลถึงอนาคต หรือจมอยู่กับอดีต สุนัขกลับใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และมนุษย์ที่ใกล้ชิดกับสุนัขสามารถเรียนรู้จากพวกมันได้ แม้แต่ในกิจกรรมซ้ำๆ ของพวกมันเช่น การวิ่งไล่คาบบอล
จากการวิเคราะห์ สุนัขมีแค่ 2 สิ่งในชีวิตที่ทำให้พวกมันมีความสุข นั่นคือ ‘ความรักในชีวิต’ และ ‘การลงมือทำ’ ซึ่งโรแลนด์สบอกว่า “สุนัขรักชีวิตของพวกมันมากกว่าที่เรารักชีวิตของเราเองเสียอีก”
โรแลนด์สเลี้ยงสุนัขมาตลอดชีวิต และเคยใช้เวลาอยู่ร่วมกับหมาป่า เขายืนยันว่า สุนัขสามารถสัมผัสกับความสุขได้มากกว่ามนุษย์ เพราะเพื่อนสี่ขาของเรา ไม่ต้องแบกรับภาระของสิ่งที่เรียกว่า "การตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness)" ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่อาจฉุดรั้งและกัดกินจิตใจมนุษย์ได้
เขาเสนอว่า สุนัขไม่มีความสามารถในการไตร่ตรองตนเอง (reflection) แต่พวกมันมี ภาวะก่อนการไตร่ตรอง (pre-reflection) หมายถึงการรับรู้ว่าการมีอยู่ของมันสัมพันธ์กับวัตถุอื่น แต่มันไม่สามารถตระหนักเองได้ว่า ชีวิตมีอะไรอื่นอีกบ้างนอกจากการวิ่งไล่ลูกบอล
พูดง่ายๆ คือสุนัขรับรู้การมีอยู่ของตัวเองในเชิงกายภาพ แต่มันไม่ได้มีความสามารถในการคิดไตร่ตรองคุณค่าของการกระทำนั่น ยกตัวอย่างเช่น เวลาสุนัขวิ่งไล่ลูกบอล มันจะรู้ว่าตัวเองกำลังเคลื่อนที่ไปหาวัตถุที่อยู่ตรงหน้า รับรู้ว่าวัตถุนั้นมีระยะทาง มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง และสามารถคาบมันได้ แต่สุนัขจะไม่เคยคิดไปไกลกว่านั้น เช่น "ทำไมฉันถึงวิ่งไล่ลูกบอล?" "สิ่งนี้มีความหมายอะไรต่อชีวิตของฉัน?" หรือ "ถ้าฉันคาบลูกบอลไม่ได้จะล้มเหลวหรือไม่"
ซึ่งตรงนี้เป็นความแตกต่างจากมนุษย์ เพราะมนุษย์มักจะตั้งคำถามและไตร่ตรองเกี่ยวกับความหมายของชีวิตหรือการกระทำของตัวเอง ขณะที่สุนัขแค่ทำไปโดยไม่มีความสงสัยใดๆ และเพลิดเพลินกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแบบเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
โรแลนด์สได้ยกตัวอย่าง ชาโดว์ สุนัขเยอรมันเชเพิร์ดของเขา ที่มีนิสัยอันตรายอย่างเห็นได้ชัดจนไม่สามารถปล่อยให้เดินเล่นในสวนสาธารณะได้ แต่มันไม่มีความตระหนักถึงผลกระทบมันมีต่อสิ่งรอบตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นการก่อเรื่องทะเลาะกับสุนัขตัวอื่น หรือฉี่ใส่ม้านั่งในสวน ดังนั้น การขาดการไตร่ตรองของชาโดว์จึงทำให้มันไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่สุภาพเรียบร้อยได้ เพราะมันไม่เข้าใจว่าการกระทำของตัวเองมีผลต่อสังคมหรือกฎเกณฑ์รอบตัวอย่างไร
ทั้งหมดนั้นจึงทำให้ ชาโดว์สามารถสัมผัสถึงความสุขได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การวิ่งไล่ตามอีกัวนาที่กำลังอาบแดดอยู่ริมคลอง! แม้าโดว์จะไม่เคยจับอีกัวนาได้เลย แต่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็เต็มใจเล่นเกมนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน
การทำอะไรซ้ำ ๆ คล้ายๆ กับตำนานของ ‘ซิสิฟัส’ ในเทพปกรณัมกรีก ที่เป็นทรราชถูกลงโทษในชีวิตหลังความตายด้วยการกลิ้งก้อนหินขึ้นไปบนยอดเขา แต่ก้อนหินก็กลิ้งกลับลงมาเสมอ ไม่มีวันสิ้นสุดทำให้ ‘ซิสิฟัส’ ต้องกลิ้งต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน หรือถ้าให้เทียบกับชีวิตจริงก้เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ทำอะไรซ้ำ และไม่มีวันสำเร็จ จนสติแตกกับสิ่งนั้น แต่สำหรับชาโดว์และสุนัขทุกตัว พวกมันกลับทำกิจกรรมซ้ำๆ อย่างการวิ่งไล่อะไรสักอย่างด้วยความสุข
การค้นหาความหมายของชีวิตเป็นเรื่องยากสำหรับเรา แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับสุนัข เนื่องจากความสุขของพวกมันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติที่แท้จริง และออกมาจากภายใน ขณะที่มนุษย์เราต้องดิ้นรนให้ได้ความสุขมา โดยเฉพาะความสุขและความสำเร็จในแบบที่คนอื่นยอมรับ ไม่ได้ออกมาจากภายในของเราเอง
สุดท้าย โรแลนด์สให้เหตุผลว่า สุนัขเป็นทั้งนักแสดงและผู้เขียนชีวิตของตัวเอง พวกมันไม่ได้เป็นผู้สังเกตการณ์หรือผู้วิพากษ์วิจารณ์เหมือนมนุษย์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งการไตร่ตรองและความลังเลสงสัย ซึ่งในระยะยาวอาจกลายเป็นสิ่งกัดกินจิตใจได้ราวกับมะเร็งร้าย
สรุปคือ สุนัขรักและภูมิใจในชีวิตของมันมากกว่าที่เราภูมิใจในชีวิตตัวเอง เพราะสุนัขไม่ต้องแบกรับภาระจากการไตร่ตรองและโทษตัวเองเหมือนมนุษย์ อีกทั้งพวกมันมีเพียง หนึ่งชีวิตให้ใช้ และใช้มันอย่างเต็มที่โดยไม่หันกลับมาครุ่นคิดหรือลังเล
ความหมายของชีวิตดำรงอยู่ในทุกที่ที่ความสุขพลุ่งพล่าน หากคุณอยากรู้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไร ให้เลี้ยงสุนัขสักตัวดูซิ
ที่มา : nypost
ข่าวที่เกี่ยวข้อง