Gucci Visions นิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวตลอดระยะเวลา 103 ปี ของ Gucci ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ผ่านการออกแบบและสร้างสรรของเหล่าครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ เข้าชมฟรีตั้งแต่วันนี้จนถึง 21 กรกฎาคม ณ ศูนย์การค้า EMSPHERE
Gucci Visions นิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของ GUCCI ที่มีมายาวนานกว่า 103 ปี ผ่านมุมมองอันรอบด้าน ที่เป็นการย้อนรำลึกถึงผลงานการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ไอคอนิกของแบรนด์ รวมไปถึงความสามารถอันเปี่ยมพรสวรรค์ของเหล่าครีเอทีฟไดเร็กเตอร์และช่างฝีมือที่สั่งสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
Gucci แบรนด์ลักซ์ชัวรี่ชั้นนำระดับโลก ที่เริ่มก่อตั้งในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1921 กว่าศตวรรษที่ผ่านมา Gucci ยังคงพัฒนาขับเคลื่อนไปสู่ความหรูหราในรูปโฉมใหม่ ที่คงไว้ซึ่งแนวคิดสร้างสรรค์อันเลื่องชื่อ พร้อมด้วยงานช่างฝีมืออันประณีตตามแบบฉบับอิตาลี และเต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม Gucci เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Kering กลุ่มธุรกิจแบรนด์ลักซ์ชัวรี่ระดับโลกที่เข้าบริหารงานในแบรนด์แฟชั่น เครื่องหนัง จิวเวลรี่ และแบรนด์แว่นตาที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก
ในครั้งนี้นิทรรศการ Gucci Visions คุณจะได้ทำความรู้จัก GUCCI ผ่านห้องการจัดแสดงทั้ง 6 พร้อมกับจะมีผู้บรรยายในแต่ละห้องให้เราได้ทำความรู้จักกับแบรนด์ให้ลึกซึ้งลงไปอีก ใครที่เป็นแฟนของแบรนด์นี้อยู่แล้วจะยิ่งหลงรักเข้าไปอีกแน่นอน หรือถ้าใครชื่นชอบแฟชั่น ควบคู่กับประวัติศาสตร์ก็เหมาะมากๆ เพราะเราจะได้เห็นการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของความนิยมอีกด้วย
จุดเริ่มต้นนิทรรศการนี้จะเป็นการบอกเล่าประวัติศาสตร์ของ GUCCI
และจะทำให้คุณเข้าใจว่าทำไม สีธีมหลักของงานนี้ถึงเป็นสีแดงแบบที่เห็น เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทางแบรนด์อยากจะสื่อสารออกมาและยังจะได้ทำความเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของแต่ละองค์ประกอบที่ยังคงความมีเสน่ห์ในแบบของ Gucci อยู่เสมอ เชื่อมต่อแนวความคิดสร้างสรรค์จากรุ่นสู่รุ่น โดยเริ่มจาก Guccio Gucci อันเป็นต้นแบบไปสู่ผลงานการบุกเบิกของบรรดาลูกชายของเขา รวมไปถึงการเปลี่ยนถ่ายความเป็นผู้นำผ่านเหล่า ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ สำหรับงานนิทรรศการในครั้งนี้เป็นการผสมผสานเรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันของ Gucci ที่ถ่ายทอดความเป็นไปในแต่ละบทที่แตกต่างของเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่ง Gucci
ห้องที่ 1 Flora
จุดเด่นของห้องนี้จะเป็นหน้าจอที่สะท้อนกระจก 6 มุม ทำให้มีความสนุกในการถ่ายรูป พร้อมกับลวดลายอันเป็นไอคอนิกของแบรนด์ ที่เริ่มต้นขึ้นจากจินตนาการของ Vittorio Accornero de Testa ผู้เป็นทั้งศิลปิน นักออกแบบฉาก และนักวาดภาพประกอบชาวอิตาลีประจำแบรนด์ Gucci ตั้งแต่ปี 1966 โดยปรากฎลวดลาย Flora เป็นครั้งแรกบนผ้าพันคอที่ทอขึ้นจากผ้าไหม ด้วยลวดลายที่มีความเป็นธรรมชาติละเมียดละไมสะท้อนฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูกาลผ่านภาพดอกไม้ พรรณไม้ และแมลงนานาชนิด ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจสำหรับแบรนด์ Gucci เสมอมา สืบเนื่องต่อมาหลายปีที่ลวดลาย Flora อันเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหลนี้ได้ถูกตีความครั้งใหม่ลงบนผลงานคอลเลกชั่นเครื่องแต่งกาย ready-to-wear กระเป๋าถือ แอคเซสซอรี่ เครื่องประดับ รวมไปถึงน้ำหอม Gucci eau de parfum อันเป็นเอกลักษณ์ และจวบจนทุกวันนี้ที่ความงามเหนือกาลเวลาของมวลช่อดอกลิลลี่ ดอกป๊อปปี้ ดอกแอนนีโมนี ดอกทิวลิป และดอกไอริส รวมไปถึงเหล่าผีเสื้อ แมลงปอ ตัวต่อ ตั๊กแตน และด้วง ยังคงเป็นสัญลักษณ์อันเปี่ยมพลังประจำ Gucci ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในธรรมชาติและยังเปรียบได้กับการผลิบานไม่รู้จบและความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง
ห้องที่ 2 Bamboo
ห้องนี้จะมีการจัดแสดงกระเป๋ารุ่นยอดนิยมที่ไม่หา ไม่ตายจากวงการ นั่นก็คือ Gucci Bamboo
กระเป๋าถือ Gucci Bamboo 1947 ถือเป็นแบบอย่างของการไม่ยึดติดกับวิถีเดิมๆ ในงานช่างฝีมือของ Gucci โดยการเลือกเอาวัสดุที่มีความโดดเด่นพิเศษนี้มาใช้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Vasco Gucci บุตรชายคนที่ห้าของ Guccio Gucci ผู้มีความชื่นชอบในตัวไม้เท้า หลังจากผ่านการทดลองสร้างสรรค์หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดวัสดุไม้ไผ่ก็ขึ้นรูปเป็นที่จับของกระเป๋ารูปทรงอานม้า และในปี 1947 ไม้ไผ่จึงถูกนำมาใช้ในสตูดิโอเวิร์คช็อปของ Gucci โดยผ่านการดัดขึ้นรูปด้วยเปลวไฟให้ได้ที่จับกระเป๋ารูปทรงโค้งได้สัดส่วนพร้อมลงเคลือบเงา ทำให้ที่จับกระเป๋ามีเฉดสีและรูปทรงที่มีความเฉพาะตัวในแต่ละชิ้นด้วยผลงานการออกแบบที่ทันสมัยทำให้ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วจากเหล่าดารานักแสดงชั้นนำของฮอลลีวูดและกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งงานช่างฝีมืออันประณีตเปี่ยมเอกลักษณ์ประจำ Gucci
จากจุดเริ่มต้นของกระเป๋ารุ่นนี้ ทั้ง Gucci และครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ต่างปรับโฉมใหม่บนรายละเอียดของวัสดุไม้ไผ่ในหลากหลายบริบท ตั้งแต่หัวเข็มขัดไปจนถึงรองเท้าส้นสูงคู่เด่น ทั้งนี้กระเป๋า Bamboo 1947 ก็ยังคงเป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบอยู่เสมอ รวมถึงเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า Gucci เองได้ปรับโฉมภาพจำให้กับเครื่องใช้จำเป็นไปสู่ชิ้นงานสร้างสรรค์ และจากชิ้นงานสร้างสรรค์ไปสู่ความสง่างาม พร้อมตอกย้ำจุดยืนของการเป็นผู้นำในด้านงานช่างฝีมืออันประณีตและหรูหรา
ห้องที่ 3 Travel
แบรนด์ชั้นนำของโลกหลายๆแบรนด์ก็มีจุดกำเนิดมาจากการทำกระเป๋าเดินทาง Gucci ก็เช่นกัน
ในปี 1921 ที่แบรนด์ Gucci ก่อตั้งขึ้นนั้น แนวคิดสำคัญได้มุ่งเน้นไปที่การเป็น “กระเป๋าเดินทางตามแบบฉบับอังกฤษ” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมุมมองของ Guccio Gucci ที่เมื่อครั้งวัยเยาว์ที่เขาทำหน้าที่เป็นพนักงานยกกระเป๋าที่โรงแรม The Savoy อันเป็นหนึ่งในโรงแรมที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่ง การเฝ้าสังเกตด้วยตนเองถึงวิถีปฏิบัติตามแบบฉบับของชนชั้นสูง ทำให้เขาเรียนรู้ว่าอะไรคือความต้องการอันแท้จริงของผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล รวมไปถึงรูปลักษณ์ของกระเป๋าเดินทางซึ่งสะท้อนทั้งรสนิยมและสถานะทางสังคมของผู้เป็นเจ้าของ
เมื่อ Guccio เดินทางกลับมายังบ้านเกิดในเมืองฟลอเรนซ์ เขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจในการฝึกฝนตนเอง โดยวางรากฐานให้กับแบรนด์ Gucci ซึ่งใช้ชื่อแบรนด์ตามชื่อของเขาเอง และกว่าศตวรรษต่อมา Gucci ยังคงสานต่อเรื่องราวการเดินทางเปี่ยมไอเดียสร้างสรรค์ที่ผู้ก่อตั้งได้ริเริ่มไว้ แล้วเมื่อยิ่งได้สัมผัสกับเรื่องราวในอดีตอันเป็นตำนานพร้อมกันนั้นก็มองเห็นแนวทางของแบรนด์ในอนาคต ที่บ่งบอกว่าการสร้างสรรค์ผลงานกระเป๋าถือและกระเป๋าเดินทางได้ข้ามขีดจำกัดของการเดินทางที่พาให้พบกับประสบการณ์ในแง่มุมต่างๆ ของนักเดินทาง
ห้องที่ 4 Icons
พอเปิดประตูเข้ามาที่ห้องนี้จะเจอกับการจัดแสดงกระเป๋ากว่า 200 ใบ ที่ละลานตาสุดๆ เพื่อเป็นการระลึกถึง กระเป๋าถือ Bamboo 1947, Horsebit 1955 และ Jackie 1961 ซึ่งถือเป็นตัวแทนของงานออกแบบสุดไอคอนิกของ Gucci ด้วยภาพลักษณ์อันโดดเด่นด้านแนวคิดสร้างสรรค์และงานช่างฝีมืออันประณีตของ Gucci อันเป็นเรื่องราวเปี่ยมเอกลักษณ์ที่ยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งห้วงเวลา
โดยในปี 1947 Gucci ได้นำเสนอกระเป๋าถือไอคอนิกใบแรกซึ่งตกแต่งด้วยที่จับกระเป๋าที่ทำจากไม้ไผ่รูปทรงโค้ง นับเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานแห่งผลงานการออกแบบกระเป๋าอันชาญฉลาด หลังจากผลงานสร้างสรรค์อันเป็นที่จดจำ ก็ได้มีการหยิบเอาสัญลักษณ์ Horsebit (ฮอร์สบิต) หรือ ตะขอปากม้า มาปัดฝุ่นตีความใหม่อีกครั้งหลังจากที่ปรากฎอยู่บนรองเท้าทรงโลฟเฟอร์ตั้งแต่ปี 1953 โดยนำเอาสัญลักษณ์นี้มาใช้กับกระเป๋าเป็นครั้งแรกในปี 1955 สำหรับกระเป๋าถือ Horsebit 1955 ในปัจจุบันยังคงกลิ่นอายจากผลงานแรกเริ่มตั้งแต่ปี 1955 เอาไว้โดยใช้วัสดุฮาร์ดแวร์ไอคอนิกตามเดิม พร้อมกับแรงบันดาลใจของกระเป๋ารูปทรงผืนผ้าที่ได้รับความนิยมในช่วงยุค 1970s
เช่นเดียวกันกับกระเป๋า Gucci Jackie 1961 ที่เป็นการย้อนเล่าเรื่องราวไปในปี 1961 ของกระเป๋ารูปทรงพระจันทร์เสี้ยวที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตกแต่งตัวล็อคที่ปิดกระเป๋ารูปทรงคล้ายลูกสูบ ที่กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานอมตะของช่างฝีมือที่ได้บันทึกเรื่องราวเอาไว้
ห้องที่ 5 Stars
เป็นห้องที่จัดแสดงชุด เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์อันยาวนานของ Gucci กับบุคคลสำคัญ เซเลบริตี้ และ อินฟลูเอนเซอร์มากว่าศตวรรษ ในส่วนจัดแสดงของธีม Stars ได้มีการนำเอากระจกและจอภาพดิจิทัลมาใช้ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์อันตื่นตาตื่นใจ เพื่อช่วยเสริมให้เครื่องแต่งกายที่ถูกกล่าวขานผ่านการคัดสรรให้มาจัดแสดงในครั้งนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องแต่งกายในแต่ละชุดได้รับการตัดเย็บขึ้นโดยเฉพาะเพื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงภาพยนตร์หรือดนตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องแต่งกายอันงดงามตราตรึงที่สวมใส่โดย ดาวิกา โฮร์เน่ แบรนด์แอมบาสเดอร์ Gucci ของประเทศไทย เพื่อสวมใส่ในงาน Gucci Art Lab Event 2023 ในกรุงเทพฯ ซึ่งตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานในครั้งนั้น โดยเป็นชุดยาวสีดำที่มีลูกเล่นความระยิบระยับของเนื้อผ้าปราศจากการซับใน ตกแต่งด้วยเทคนิคงานผ้าอัดพลีทและประดับเข็มกลัด พร้อมด้วยเข็มขัดเข้าชุดก็จัดแสดงไว้ในนิทรรศการครั้งนี้เช่นกัน
ห้องที่ 6 Fashion
เป็นการจัดแสดงลุคต่างๆ ในแต่ละทศวรรษที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน โดยหยิบยกมาจากผลงานเก็บสะสมที่ผ่านมาของแบรนด์จาก Gucci Archive ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ปราสาท Palazzo Settimanni ในเมืองฟลอเรนซ์ ผลงาน Archive นับเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าสำหรับเหล่าครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ Gucci ที่ไม่เพียงช่วยมอบแรงบันดาลใจแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำหรับส่งต่อเรื่องราวของงานออกแบบในช่วงเวลานั้นๆ ไปสู่เจเนอเรชั่นที่หลากหลาย เช่น Tom Ford / Frida Giannini / Alessandro Michele และ Sabato De Sarno ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนล่าสุดของ Gucci
สำหรับห้องทั้ง 6 ห้องภายในงานนิทรรศการ Gucci Visions นั้น ได้ช่วยสร้างสรรค์แรงบันดาลใจและเติมเต็มการเดินทางที่แสดงให้เห็นว่า Gucci ยังคงความเป็นที่สุดในงานสร้างสรรค์และคุณภาพที่เปี่ยมด้วยสัมผัสของความหรูหราที่มีมายาวนานกว่าศตวรรษ ด้วยผลงานการออกแบบอันเป็นไอคอนิกและไอเดียที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่เพียงแต่เป็นภาพสะท้อนของกาลเวลาแต่ยังเป็นการให้คำจำกัดความกับสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย
นิทรรศการ Gucci Visions ในประเทศไทยจะเปิดให้บุุคคลทั่วไปเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 นี้ ณ EM GLASS บริเวณชั้น G อาคาร EM TOWER ศูนย์การค้า EMSPHERE
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมนิทรรศการ Gucci Visions สามารถสำรองการเข้าชม ได้ที่ www.gucci.com/th หรือ LINE Official Account: @GUCCITH
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe