นี่คือคู่มือฉบับคนรีบเที่ยว พาเก็บเกี่ยว 7 จุดต้องห้ามพลาด “ลิสบอน” เมืองหลวงของ โปรตุเกส ที่จริงเมืองนี้เวลาเดินช้ามาก รถราง หลังคาส้ม และซอกซอย แต่เรามีเวลาน้อยคงจะชิลไม่ได้ ...งั้นก็ไปแบบรีบๆ นี่แหละ
คู่มือฉบับคนรีบเที่ยว พาเก็บเกี่ยว 7 จุดต้องห้ามพลาด “ลิสบอน”
แต่อย่าเพิ่งตกใจไปว่าเราจะเป็น “ชะโงกทัวร์หรอ” ไม่นะ เราจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด
ที่เราทำแบบนี้ได้เพราะเราวางแผนมาอย่างดีและสถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอิน หรือ จุดถ่ายรูปในเมืองลิสบอนก็ค่อนข้างที่จะไม่ไกลกันมากนัก สามารถเดินทางในเส้นทางเดียวกันได้ เพราะฉะนั้นในเวลาหนึ่งวัน เราสามารถได้ทั้งเที่ยว เรียนรู้ ศึกษาประวัติศาสตร์ และกินของอร่อย
สามารถกด ชมคลิปได้ที่นี่
เราออกจากโรงแรมตอน 9.30 น. ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากเพราะเฟรมเองจะนึกเสมอว่ามาเที่ยวต้องสบายและได้พักผ่อน ไปเริ่มที่จุดแรกที่เราตั้งต้นกันเลยจ้า
1.Torre de Belém มีหน้าที่เป็นหอคอยหน้าด่าน หรือง่ายๆคือสมัยก่อนเป็นประตูสู่ลิสบอน
หอคอยหรือป้อมปราการตรงนี้สมัยก่อนจะอยู่บนเกาะเล็กๆซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมตรงนี้นี่แหละแต่ในปัจจุบันมีการถมดินเข้ามาจึงทำให้เราสามารถเดินไปที่หอคอยแห่งนี้ได้เลยสะดวกกว่าสมัยก่อนเยอะ ความสำคัญอีกอย่างนอกเหนือจากการปกป้องหน้าด่านแล้ว จุดนี้ยังเป็นจุดที่ทำพิธี ก่อนที่จะปล่อยเรือให้นักสำรวจชาวโปรตุเกส ออกเดินเรือเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆอีกด้วย
Torre de Belém ได้รับการรับการจัดให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อ ปี 1983 และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโปรตุเกส ในปี 2007 อีกด้วย
2. Monument to the Discoveries “อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ”
โปรตุเกส คือ เจ้าแห่งการเดินสมุทร คงจะไม่มีสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ที่จริงแล้ว “อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ” ไม่ใช่สถานที่เก่าแก่เพราะเพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน (ครั้งที่ 2 คือปี ค.ศ.1960 ครั้งแรกพัง) แต่เหตุผลในการสร้างนี่คู่ควรแก่การศึกษาสุดๆ เพราะในยุคแห่งการสำรวจทางทะเล หรือช่วงศตวรรษที่ 15-18 โปรตุเกส คือประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการเดินทางทางเรือ การเจริญสัมพันธไมตรี การเจรจาการค้า และการโหยหาดินใหม่ๆ ตรงแท่นที่เป็นอนุสาวรีย์ก็จะมีบุคคลสำคัญยืนเรียงรายหันหน้าออกไปทางทะเล
คนสำคัญและยืนอยู่หน้าสุดคือเจ้าชายเฮนรี ที่มีความสนพระทัยในเรื่องการเดินเรือเป็นพิเศษ จึงเป็นผู้สนับสนุนหลักและคอยอนุมัติให้ชาวเมืองออกไปเดินเรือ จนค้นพบดินแดนใหม่ๆ
อีกคนที่สำคัญสำหรับชาวโลกเลย ก็คือ วัชกู ดา กามา (Vasco da Garma)
นักเดินเรือและนักสำรวจชาวโปรตุเกส ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เขาคือคนแรกที่เดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป บริเวณใต้สุดของแอฟริกา เพื่อข้ามต่อไปยังอินเดียได้สำเร็จเป็นคนแรกในราวปี 1498
แต่ที่เฟรมชอบที่สุดคือ ที่บริเวณพื้นด้านหน้าอนุสาวรีย์ จะมีลานหินอ่อนที่แกะสลัก วาดลวดลายแผนที่โลก พร้อมกับเส้นทางเดินเรือในอดีต ซึ่งจริงๆมีผ่านมายังประเทศไทย แต่เฟรมหาแล้วไม่เจอ เจอแค่ช่องแคบมะละกา ถ้าใครเจอก็ คอมเมนต์พูดคุยกันได้นะคะ
อ่านเรื่องท่องเที่ยวยุโรปเพิ่มเติม
ปักหมุด 7 ที่เที่ยว “ปอร์โต้ โปรตุเกส” เมืองท่า ว่าด้วยประวัติศาสตร์
ทะเลสาบสีฟ้า กับตำนานน้ำตาแห่งความรักของหญิงสาว “Blausee Switzerland”
เมืองกลางหุบเขา แต่ไม่เหงาเพราะมีธรรมชาติคอยโอบกอด ที่ Zermart Switzerland
3. Mosteiro dos Jerónimos ที่นี่คือพระอารามในศาสนาคริสต์ ที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในลิสบอนด้านในจะแบ่งออกเป็นสองส่วน
โซนแรก เข้าชมฟรี ก็คือ Church of Santa Maria สถาปัตยกรรมในการสร้างเป็นโกธิคแบบโปรตุเกสใช้เวลาสร้างเป็น 100 ปีถึงจะเสร็จสมบูรณ์ ส่วนการตกแต่งด้านในในสมัยนั้นถือว่าแปลกตาและอลังการมากๆ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของยุคแห่งการสำรวจของโปรตุเกส และที่สำคัญเพื่อระลึกถึงการกลับมาของ “วัชกู ดา กามา” นักสำรวจดินแดนคนสำคัญที่มีรูปปั้นอยู่ที่อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (เฟรมเล่าไปในย่อหน้าที่แล้ว) โซนนี้จะไม่เสียเงินสามารถเข้าชมได้เลย แต่แถวค่อนข้างยาว
โซนที่ 2 Cloister เป็นโซนที่สร้างเพิ่มขึ้นมาเป็นส่วนขยาย โซนนี้ต้องจองล่วงหน้าและเสียเงินค่าเข้าชม ด้านในอลังการไม่ผิดหวัง เสาโค้งเหมืองท้องเรือเรียงลาย ทั้งอาคาร 2 ชั้น ทรง 4 เหลี่ยม ถ่ายรูปจุดนี้สวยมากๆ ทั้งชั้นบน และชั้นล่าง ซึ่งการตกแต่งก็บ่งบอกถึงยุคสมัยแห่งการเดินเรือเช่นกัน เจออะไรที่แปลกหูแปลกตา ก็จะจดจำมาตกแต่ง เช่นพวกสัตว์ทะเล
4. Pasteis de belem ร้านต้นตำรับทาร์ตไข่ แห่งโปตุเกส
ร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับ Mosteiro dos Jerónimos สามารถเดินต่อมาได้เลยเพราะใกล้มาก ที่ร้านนี้ อยู่ใกล้กับวิหารก็เพราะว่าต้นกำเนิดของทาร์ตไข่โปรตุเกสนั้น เกิดจากกลุ่มแม่ชีประจำมหาวิหาร Jerónimos Monastery มีไข่แดงและน้ำตาลจำนวนมากก็เลยสรรหาวิธีทำให้เกิดประโยชน์จึงออกมาเป็นขนมชื่อดังทั่วโลก ที่มีต้นกำเนิดมาจากที่ โปรตุเกสนี่แหละ
ร้านนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่ปี 1837 และยังคงสืบทอดมาจนปัจจุบัน ถึงหน้าร้านจะดูเล็กแต่เฟรมอยากให้คุณตัดสินใจนั่งกินที่ร้านเพราะด้านในกว้างมากๆ และยังมีขนมอื่นๆที่น่าสนใจอีกเพียบ อ่อ.. อย่าลืมกินขนมคู่กับไวน์หวานด้วยนะ นี่คือวัฒนธรรมการกินของเขาค่ะ
5. 25 de Abril Bridge สะพานแฝดหน้าตาคล้าย golden gate bridge ของซานฟรานซิสโก
ต่างกันตรงที่สะพานนี้ไม่ใช่มีแค่ช่องทางให้รถวิ่ง แต่ยังมีรางรถไฟอยู่ที่ชั้นล่างอีกด้วย และสะพานนี้เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรป
นอกเหนือจากนั้นสะพานนี้มีประวัติไม่ธรรมดาเพราะตอนแรกสะพานนี้ไม่ได้มีชื่อเหมือนกับปัจจุบัน แต่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติการปกครองจากเผด็จการให้กลายเป็นประชาธิปไตย ด้วยการที่ในวันที่ 25 เมษายน มีทหารถือปืนยืนอยู่เต็มแนวสะพาน แล้วประชาชนก็พยายามหาทางให้สงบศึกแล้วล้มเลิกการปกครองแบบเผด็จการ จึงได้นำดอก “คาเนชั่น” ไปเสียบที่ปลายกระบอกปืน จนในที่สุดวันนั้นก็ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง
และสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราถามว่ามาทำอะไรตรงนี้ ชี้เป้าเลยค่ะ ร้านอาหารทะเลสดๆเพียบเลย และตรงนี้บรรยากาศดี วิวงามเวอร์ ถ้ามาแฮงค์เอาท์ช่วงดึก ก็คือเพลินแน่นอนค่ะ
6.จัตุรัสโจเซฟ ที่ 1 ได้เวลาเข้ามาสู่ถนนช็อปปิ้งสตรีทแบรนด์ในเมือง
ลานจัตุรัสตรงนี้เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ แต่เดิมเคยเป็นตลาดต้อนรับผู้เดินเรือจากดินแดนอื่นๆ เวลาจะแลกเปลี่ยนสินค้าก็จะใช้จุดนี้เป็นสถานที่นัดพบ
ถัดไปด้านหลังก็คือประตูสู่การค้าที่ปัจจุบันเป็นสถานที่ซื้อของสำหรับนักท่องเที่ยว (ไม่ใช่แบรนด์เนม) ตรงนี้จะเป็นสตรีทแบรนด์ต่างมากมาย และค่าเฟ่ ร้านอาหารก็เยอะมากๆ
7. confeitaria nacional ต้นตำรับฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด
ร้านนี้เอาจริงๆก็อาจจะไมได้โด่งดังสำหรับชนชาติอื่นๆ แต่สำหรับคนไทยแล้ว ก็มักจะมาลิ้มลองรสชาติของขนมหวานที่ชาวไทยบางคนยังเข้าใจผิดว่านี่คือขนมไทย “ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด” จากที่เราได้ดูละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส “ท้าวตองกีมา” นี่แหละที่เป็นสาวชาวโปรตุเกสได้มาเผยแพร่วิธีการทำขนมหวานชนิดนี้ เฟรมก็เลยต้องค้นหาร้านต้นตำหรับที่เปิดตั้งแต่ปี 1829 มาให้รู้กันไปเลย พอได้ลองก็มีความรู้สึกคล้ายกัน แต่ของไทยจะหวานกว่า และดูจะมีความประณีตมากกว่า ก็แล้วแต่คนจะชอบ ถ้าถามว่าเหมือนไหม พื้นฐานก็คือใช่เลย แต่ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ไม่ใช่ขนมยอดฮิตของโปรตุเกสนะคะ มันคือขนมโบราณที่หากินได้ยากเช่นกัน
แต่ที่จริงแล้วเมืองนี้ยังมีโซนของเมืองเก่าที่น่าหลงไหลอยู่ และยังเป็นเมืองที่มีมุมสูงเช่นยอดเนินเขาต่างๆให้ได้ขึ้นมาชมวิวหลายจุดเลยหละ
เหนื่อยกันหรือยังคะ ถ้ายัง เก็บกระเป๋ากันต่อ ได้เวลาย้ายประเทศไป “สเปน” กันดีกว่าค่ะ
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe